แม่ร้องสื่อ ลูกถูกจับเข้าห้องขัง ข้ามคืนโคม่า ต้องหามส่งโรงพยาบาล ตร.ท่าแซะโร่แจง

Home » แม่ร้องสื่อ ลูกถูกจับเข้าห้องขัง ข้ามคืนโคม่า ต้องหามส่งโรงพยาบาล ตร.ท่าแซะโร่แจง



แม่ร้องสื่อ ลูกถูกจับเข้าห้องขัง ข้ามคืนโคม่า ต้องหามส่งโรงพยาบาล ตร.ท่าแซะโร่แจง

วันที่ 26 พ.ย.64 นางพั้ว ชะใบรัมย์ อายุ 51 ปี ชาว ต.รับร่อ อ.ท่าแซะ จ.ชุมพร ร้องเรียนผู้สื่อข่าวว่า ลูกชายชื่อ นายนำพล ชะใบรัมย์ อายุ 32 ปี ถูกเพื่อนบ้านเป็น ตชด. พร้อมเพื่อนมาจับตัวลูกชายออกจากบ้านไปเมื่อตอนสายของวันที่ 8 พ.ย.64 แต่กลางดึกวันที่ 10 พ.ย.64 ลูกชายตนหมดสติในห้องขัง สภ.ท่าแซะ ถูกนำตัวส่งโรงพยาบาลท่าแซะ แต่อาการหนักจึงส่งตัวไปรักษาที่โรงพยาบาลชุมพรเขตรอุดมศักดิ์ ปรากฏว่าลูกชายมีร่องรอยคล้ายถูกซ้อมเลือดคลั่งในสมองจนพิการไม่ได้สติและเป็นอัมพาตเคลื่อนไหวร่างกายไม่ได้เลย

นางพั้ว เล่าว่า ตนมีอาชีพรับจ้างกรีดยางพารา ตัดปาล์มน้ำมันและรับจ้างทั่วไป มีฐานะยากจนหาเช้ากินค่ำ มีลูก 3 คน ชาย 2 คน หญิง 1 คน ปัจจุบันอยู่กับลูกชาย 2 คน ส่วนลูกสาวไปรับจ้างทำงานอยู่ที่ กทม. ตอนเกิดเหตุวันที่ 8 พ.ย.64 ตนและสามีไปฉีดวัคซีนป้องกันโควิดที่โรงพยาบาล ช่วงบ่ายลูกชายคนโตโทรศัพท์มาบอกว่ามีชาวบ้านบอกว่าเห็นน้องชายคือ นายนำพล ถูกเพื่อนบ้านที่เป็น ตชด.อยู่ที่ค่ายแห่งหนึ่งใน จ.สุราษฎร์ธานี มากับเพื่อนรวม 2 คน จับตัวน้องชายออกไปจากบ้านแจ้งว่าจะพาไปส่งตำรวจที่ สภ.ท่าแซะ อ้างว่าน้องชายเข้าไปลักทรัพย์ภายในบ้านของเขา ซึ่งตอนนั้นตนก็ไม่ได้คิดอะไรมาก เพราะเข้าใจว่าคนที่พาลูกชายไปเป็นเพื่อนบ้านในละแวกเดียวกันเดี๋ยวเขาคงพามาส่งเอง

นางพั้ว กล่าวต่อว่า ผ่านไป 2 วันลูกชายก็ยังไม่กลับบ้าน จนกระทั่งมารู้จากเพื่อนบ้านอีกว่าลูกชายตนบาดเจ็บถูกส่งรักษาตัวที่โรงพยาบาลท่าแซะ แต่อาการหนักมากต้องส่งไปที่โรงพยาบาลชุมพรเขตรอุดมศักดิ์ แต่เนื่องด้วยตนฐานะยากจนหาเช้ากินค่ำตน จึงไปขอยืมเงินเพื่อนบ้าน 1,000 บาท จ้างรถยนต์ให้ไปส่งที่โรงพยาบาลช่วงเวลาประมาณ 2 ทุ่ม ของวันที่ 10 พ.ย.64 แต่โรงพยาบาลมีมาตารการป้องกันโควิดต้องรอผลตรวจก่อน ซึ่งกว่าจะได้พบลูกชายก็เกือบ 4 โมงเย็นของวันที่ 11 พ.ย.64 แต่เมื่อได้เห็นสภาพร่างกายลูกชายตนรับไม่ได้สงสารลูกมากมีรอยเขียวช้ำที่ขาและตัวหลายจุด และศีรษะได้รับความกระทบกระเทือนจนกระดูดก้านคอแตกร้าว มีเลือดคั่งในสมอง ขยับเขยื้อนตัวไม่ได้ แพทย์ต้องผ่าตัดเอาเหล็กดามกระดูกก้านคอและบอกว่าลูกตนเป็นอัมพาตค่อนข้างสูง และต้องนอนใส่ท่อช่วยหายใจอยู่ในห้องไอซียูตลอดเวลา

นางพั้ว กล่าวอีกว่า ช่วงวันแรกที่ตนไปหาลูกที่โรงพยาบาลลูกชายยังพอรู้สึกตัวแบบเหม่อลอย และนอนสะดุ้งผวาตลอดถึงกับตะโกนออกมา “อย่าทำร้ายผม ผมยอมแล้วอย่าๆ” เป็นอยู่แบบนี้ราว 2-3 ครั้ง จนอาการทรุดหนักลงและไม่รู้สึกตัวอีกเลย ตนเห็นสภาพลูกชายแล้วสงสารมาก

เมื่อตนและสามีไปสอบถามเจ้าหน้าที่ตำรวจได้รับคำตอบว่าลูกชายทำร้ายตัวเองในห้องขังจนอาการสาหัส ไม่มีใครทำร้าย พร้อมกับให้สามีตนไปดูกล้องวงจรปิด ซึ่งก็เห็นแต่ภาพหน้าห้องขังเท่านั้น ไม่เห็นภายในห้องขังที่คุมขังลูกชายตนแต่อย่างใด ทำให้ตนสงสัยว่าใครทำร้ายลูกตน และ ตชด.เพื่อนบ้านที่มาจับลูกชายตนไปส่งโรงพักในข้อหาลักทรัพย์เหล้านอก 1 ขวด แล้วเมื่อถึงโรงพักทำไม่ลูกชายตนจึงถูกจับเรื่องเสพยาเสพติด ตนยอมรับว่าลูกชายตนอาจจะมีเรื่องเสพยาและลักทรัพย์อยู่บ้าง แต่ทำไมลูกตนต้องถูกทำร้ายในสภาพเช่นนี้ด้วย

ก่อนจะมาร้องผู้สื่อข่าวตนได้ไปร้องทุกข์ที่ศูนย์ดำรงธรรมจังหวัดชุมพร และได้ร้องเรื่องไว้แล้ว ทางเจ้าหน้าที่ยังบอกกับตนว่า การที่ ตชด.บุกไปจับลูกตนถึงบ้านน่าจะเป็นการจับกุมโดยไม่ชอบหรือจับกุมแบบผิดกฎหมาย เพราะไม่มีหมายจับแต่อย่างใด ตนจึงอยากเรียกร้องความเป็นธรรมให้กับลูกชายตน

ด้าน พ.ต.ท.มธกร ฤทธิ์เนื่อง รอง ผกก.(สอบสวน) สภ.ท่าแซะ กล่าวว่า คดีดังกล่าวนั้น มีเพื่อนบ้านของผู้ต้องหารายนี้ซึ่งเป็น ตชด.ได้ไปเชิญตัว นายนำพล มาที่โรงพักเพื่อจะมาพูดคุยกันเรื่องที่ นายนำพล เข้าไปลักทรัพย์ภายในบ้านเขาเป็นสุรานอก 1 ขวด ซึ่ง นายนำพล ก็มาแต่โดยดี แต่ไม่ได้ดำเนินคดีข้อหาลักทรัพย์เพราะไม่ใช่ความผิดซึ่งหน้า หากจะดำเนินดีก็ต้องแจ้งความร้องทุกต่อพนักงานสอบสวนเพื่อรวบรวมพยานหลักฐานออกหมายจับเรียกหรือหมายจับตามขั้นตอน แต่ทั้ง 2 ฝ่ายก็มีการพูดคุยกันได้และไม่มีการแจ้งความลักทรัพย์แต่อย่างใด

พ.ต.ท.มธกร กล่าวต่อว่า จากนั้นในวันนั้นพนักงานสอบสวนได้นำตัว นายนำพล ไปตรวจปัสสาวะที่โรงพยาบาลท่าแซะ ปรากฏว่าผลออกมาเป็นสีม่วงมีสารเสพติด และตัว นายนำพล ก็รับสารภาพว่าได้เสพยาบ้า 2 เม็ด จึงต้องดำเนินคดีข้อหาเสพยาเสพติด เพื่อจะนำตัวเข้าสู่กระบวนการขั้นตอนการบำบัดและส่งตัวให้สำนักงานคุมประพฤติจังหวัดชุมพร ในวันที่ 11 พ.ย.64

พ.ต.ท.มธกร กล่าวอีกว่า ช่วงนั้นมีผู้ถูกคุมขังอยู่ในห้องขังจำนวน 3 คน รวมทั้ง นายนำพล ด้วย โดยเป็นผู้ต้องหาคดีทั่วไป 1 คน และผู้ต้องหายาเสพติด 2 คน ซึ่งตำรวจเห็นว่าผู้ต้องหาคดีเสพยาเสพติดมีอาการไม่ค่อยดีเหมือนอยากยาเสพติด จึงได้แยกทั้ง 3 คน ขังคนละห้อง และในตอนกลางคืนเวลาประมาณตี 3 ของวันที่ 10 พ.ย.64 สิบเวรเข้าไปตรวจห้องขังก็ยังเห็น นายนำพล นอนหลับอยู่ตามปกติ จนกระทั่งตอนเข้าสิบเวรเข้าไปตรวจอีกรอบและเรียก นายนำพล ไม่ตื่นไม่รู้สึกตัว มีอาการเกร็งๆ จึงได้เรียกรถโรงพยาบาลท่าแซะมารับตัวไปส่งโรงพยาบาลทันที และแพทย์เห็นว่าอาการหนักจึงส่อต่อไปโรงพยาบาลชุมพรเขตอุดมศักดิ์ ซึ่งตนได้รับแจ้งจากแพทย์โรงพยาบาลท่าแซะว่าจากการซักถามอาการเบื้องต้นของ นายนำพล ซึ่งยังพอพูดได้บอกว่าเขาได้ทำร้ายตัวเอง และเหมือนมีคนจำนวนมากมาด่าทอเขาด้วย

พ.ต.ท.มธกร กล่าวว่า สำหรับกล้องวงจรปิดที่ติดตั้งไว้หน้าห้องขังนั้นส่องไปเพียงกลางห้องแต่ไม่ถึงมุมด้านหลังของห้องขัง แต่จากการตรวจสอบกล้องวงจรปิดในช่วง 24 ชั่วโมง ทั้งกลางวันกลางคืน จากบริเวณประตูเข้าออกห้องขังไม่มีผู้ใดที่ไม่เกี่ยวข้องเดินเข้าไปในห้องขังนั้นเลย และตนก็ยังบอกกับญาติของ นายนำพล ว่าหากติดใจสงสัยก็ให้ไปร้องทุกข์ที่ศูนย์ดำรงธรรมจังหวัด และทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อจะได้พิสูจน์ความจริงให้กระจ่าง ซึ่งตนขอยืนยันไม่มีใครทำร้าย นายนำพล อย่างแน่นอน น่าจะเป็นเพราะ นายนำพล เมื่อถูกขังอาจจะเครียดเพราะติดยาเสพติดและเกิดอาการหลอนแล้วนั่งหันหลังพิงกำแพงห้องขังเอาศีรษะด้านหลังโขกกำแพงไปเรื่อยๆ จนบาดเจ็บดังกล่าว

 

แท็กที่เกี่ยวข้อง

เรื่องอื่นที่น่าสนใจ