แฉ สาวโพสต์น่าสงสาร พาลูกพิการจบชีวิต คนแห่บริจาคเงินช่วยนับแสน ที่แท้กุเรื่อง ตายทิพย์ จี้เจ้าตัวออกมาชี้แจง เตรียมแจ้งความเอาผิด
วันที่ 20 เม.ย.2565 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เพจเฟสบุ๊ก Red Skull Beauty Clinic โพสต์ภาพพร้อมข้อความระบุว่า “เสียแรงที่เคยช่วยเหลือไปไม่น้อย ไหนจะลูกเพจคนอื่นๆอีก อะไรทำให้สิ้นคิดถึงขนาดต้องแกล้งตายเพื่อจะเอาเงินบริจาค แล้วชีวิตต่อไปที่เหลือคุณจะทำยังไง ต่อไปจะค้าขายอะไรกับใครได้” จนเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์กันในโซเชียล
โดยเรื่องราวเกิดจากมีผู้ใช้เฟซบุ๊กรายหนึ่งโพสต์ข้อความขอความช่วยเหลือว่า “แม่ของตัวเองหายตัวไปพร้อมกับน้องพิการ ติดต่อไม่ได้ ก่อนมาพบว่าเสียชีวิตที่ป่ายูคา ส่วนน้องอยู่ในอาการร่อแร่” และหลังจากที่โพสต์ดังกล่าว ถูกแชร์ออกไป ผู้คนในโซเชียล เกิดความสงสารจึงโอนเงินให้รวมเป็นเงินหลักแสนบาท และพร้อมที่จะมาเป็นเจ้าภาพงานศพให้
แต่แล้วความจริงก็เปิดเผยขึ้น เมื่อมีผู้ที่ต้องการจะช่วยเหลือ ติดต่อไปยังผู้ใหญ่บ้านเพื่อสอบถามข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นและจะขอมาเป็นเจ้าภาพงานศพ ทางผู้ใหญ่บ้านจึงได้ตอบกลับไปว่า บุคคลตามที่ปรากฏในโซเชียลนั้นยังไม่ได้เสียชีวิตแต่อย่างใด
ต่อมา ผู้สื่อข่าวได้ลงพื้นที่ไปยัง บ้านใหม่คลองเตย หมู่ 14 ต.สะแกราช อ.ปักธงชัย จ.นครราชสีมา พบกับน.ส.ดาบส กูดกิ่ง ผู้ใหญ่บ้านหมู่ 14 ได้เล่าให้ผู้สื่อข่าวฟังว่า คนที่ก่อเหตุนั้นชื่อนางโสภา ส่วนตัวนั้นก็รู้จักแต่ก็ไม่ได้สนิทอะไรกัน รู้จักกันในฐานะลูกบ้าน ส่วนเรื่องราวที่นางโสภาเคยโพสต์ในเฟซบุ๊กเรื่องว่าตนเองป่วยเป็นโรคไต ลูกเป็นดาวน์ซินโดรม สามีทิ้ง มีชีวิตความเป็นอยู่ที่ยากลำบากนั้น ไม่เป็นความจริงแต่อย่างใด มีเพียงแค่เรื่องลูกทีเป็นดาวน์ซินโดรมเท่านั้น
ที่เป็นเรื่องจริงคือนางโสภามีลูก 2 คน คนโตชื่อน้องเขื่อน คนเล็กชื่อน้องอังเปา โดยชีวิตความเป็นอยู่ก็ไม่ได้ลำบากอะไร ตัวสามีเองก็ได้ไปทำงานที่บริษัทแป้งมันแห่งหนึ่ง ส่วนตัวนางโสภาเองก็ได้มีการขายของออนไลน์ก่อนที่จะย้ายเข้าไปพักกับสามีภายในโรงงาน โดยตั้งแต่เกิดเหตุก็ไม่เห็นนางโสภากลับมายังบ้านเก่าอีกเลย ซึ่งสภาพบ้านก็มีการล็อกกุญแจเอาไว้ ตนได้มีการสอบถามไปยังคนรู้จักที่ทำงานอยู่ในโรงงานแป้งมันก็ทราบว่านางโสภาไม่ได้พักอาศัยอยู่ในโรงงานแล้ว
น.ส.ดาบส ผู้ใหญ่บ้าน ยังบอกต่อไปอีกว่า นางโสภาไม่ได้มีพฤติกรรมหลอกลวงแค่ในกรณีนี้เท่านั้น ยังมีคนเคยถูกหลอกมานานกว่า 5 ปี โดยโอนเงินเป็นค่าเลี้ยงดูเดือนละ 2,000 บาท ซึ่งคาดว่าจะใช้ความพิการของลูกตัวเองเป็นตัวล่อตัวให้ประชาชนเกิดีความสงสารและโอนเงินให้ ตอนนี้ได้มีผู้เสียหายที่เคยโอนเงินไปช่วยเหลือ ต่างออกมาเรียกร้องให้ ผู้ก่อเหตุออกมาชี้แจง และเตรียมเข้าแจ้งความเพื่อดำเนินคดีกับผู้ก่อเหตุแล้ว