ประชาชาติขึ้นรถไฟไปมาเลเซีย ดูแนวทางพัฒนารถไฟฟ้าภาคใต้ เชื่อมั่นคราวหน้าเป็นรัฐบาล จะมีความหน้าการเจรจาสันติภาพ
วันที่ 9 เม.ย.66 คณะผู้บริหารพรรคประชาชาติ พร้อมด้วยผู้สมัครสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) พรรคประชาชาติ ทั้ง 19 เขต นำโดยนายวันมูหะมัดนอร์ มะทา หัวหน้าพรรคประชาชาติ , พันตำรวจเอก ทวี สอดส่อง เลขาธิการพรรคประชาชาติ และคณะกว่า 40 คน เดินทางด้วยรถไฟฟ้า ETS ซึ่งเป็นรถไฟฟ้าความเร็วปานกลาง โดยเดินทางจากสถานีรถไฟปาดังเบซาร์มุ่งหน้าไปยังสถานีเคแอลเซ็นทรัล กรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย เพื่อเยี่ยมและพบปะกลุ่มคนไทยในมาเลเซีย ทั้งผู้ประกอบการและกลุ่มแรงงาน อีกทั้งยังมีกำหนดเข้าพบหารือกับ Dato’ seri Diraja Dr.Zambry Abdul Kadir รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ มาเลเซีย และ Dato’ seri Saifuddin Nasution รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย มาเลเซีย ด้วย
เมื่อเดินทางถึงปาดังเบซาร์ ประเทศมาเลเซียแล้ว มีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรมาเลเซีย และส่วนราชการมาให้การต้อนรับเป็นอย่างดี เหตุผลสำคัญที่เดินทางด้วยรถไฟไปมาเลเซีย เพื่อจะได้ศึกษาโอกาสและแนวทางพัฒนาการขนส่งทางรางในพื้นที่ภาคใต้ ซึ่งปัจจุบันการคมนาคมไทยมีความล้าหลังอย่างมาก นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา กล่าวว่า “เป็นโชคไม่ดีของคนไทยที่มีการพัฒนาช้า ประเทศอื่นๆเช่นมาเลเซียเขาคิดพัฒนาเรื่องรถไฟความเร็วสูงเขาก็ทำทันที ยิ่งพัฒนารถไฟความเร็วสูงได้เร็วก็เป็นกำไรกับประชาชน มูลค่าการก่อสร้างก็ถูก ด้านเศรษฐกิจ ประชาชนได้รับความสะดวก ความเจริญต่างๆเกิดขึ้นภายใน 10 ปี พรรคประชาชาติเราลงสมัครในเขตเลือกตั้งที่มีเส้นทางรถไฟทุกจังหวัด ประเทศมาเลเซียเขามุ่งพัฒนาการรถไฟ แต่ประเทศไทยเราพัฒนาแต่ถนนหนทางซึ่งไม่เป็นการพัฒนาขนส่งมวลชน วันนี้เราเดินทางมามาเลเซียโดยรถไฟเพราะอยากจะเห็นด้วยตนเอง และการหาเสียงไม่ได้ขึ้นรถแห่อย่างเดียว แต่เราขึ้นรถไฟด้วย ตลอดระยะทางที่นั่งรถไฟ ได้ชมวิวทำให้ได้นั่งคิดแนวทางการพัฒนารถไฟในบ้านเราได้”
นายวันมูหะมัดนอร์ กล่าวเปิดใจในฐานะที่เป็นอดีตรัฐมนตรีคมนาคม ว่า “โครงการพัฒนาต่างๆรัฐมนตรีตัดสินใจคนเดียวไม่ได้ ต้องให้นายกรัฐมนตรีตัดสินใจ ซึ่งในขณะที่เป็นรัฐมนตรีคมนาคมนั้นได้เสนอทั้งรถไฟความเร็วสูง และรถไฟความเร็วปานกลาง แต่ประเทศไทยขณะนั้นยังมีปัญหาเศรษฐกิจ จึงต้องนำงบประมาณไปฟื้นฟูเศรษฐกิจก่อน เช่นกองทุนหมู่บ้าน โครงการ 30 บาทรักษาทุกโรค และการพัฒนาอื่นๆที่มีความจำเป็น จนกระทั่งจะมาเริ่มทำในรัฐบาลคุณยิ่งลักษณ์ ก็เกิดรัฐประหาร รัฐบาลใหม่ที่เข้ามาก็ไม่ได้คิดถึงเรื่องนี้เลย จึงรู้สึกเสียดาย และเห็นว่าเราควรจะเร่งพัฒนาให้มีรถไฟความเร็วสูงโดยเร็วที่สุด เพราะเป็นการขนส่งมวลชนและการบรรทุกสินค้าและมีความปลอดภัยสูง รถไฟฟ้าจะช่วยรักษาสิ่งแวดล้อมด้วย ประหยัดพลังงานด้วย ประหยัดค่างบประมาณด้วย ภูมิประเทศของไทยเอื้อต่อการใช้รถไฟด้วย จากเหนือลงใต้เป็นพันกิโล ความจริงเราควรจะมีรถไฟความเร็วสูงก่อนมาเลเซีย มาเลเซียทำระบบรางที่มีความกว้าง 1 เมตร เพราะเขาต้องการเชื่อมเส้นทางรถไฟกับเรา แต่เราช้า จึงทำให้เสียโอกาส”
วันมูหะมัดนอร์ มะทา กล่าวอีก “วันนี้มีโปรแกรมไปร่วมละศีลอดกลับนายกรัฐมนตรีมาเลเซีย โดยรัฐบาลมาเลเซียเป็นเจ้าภาพร่วมกับศิษย์เก่ามหาวิทยาลัยอัลอัซฮาร์ อิยิปต์ มหาวิทยาลัยเก่าแก่ของโลก แต่คิดว่าไม่น่าจะมีโอกาสได้พูดคุยอะไรกันมาก เป็นการไปพบกันส่วนตัว แต่ประเด็นสำคัญคือคณะประชาชาติเดินทางไปร่วมละศีลอดกับกลุ่มคนไทยในมาเลเซียโดยเฉพาะกลุ่มผู้ประกอบการและแรงงานร้านต้มยำหลายกลุ่ม และในวันที่ 10 เมษายนนี้เราจะไปหารือคารวะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของมาเลเซีย ซึ่งเป็นคนที่เราต้องการพบมากที่สุด เพราะว่ามีคนไทยไปทำงานที่มาเลเซียจำนวนมาก และการจัดการขึ้นอยู่กับรัฐมนตรี 2 กระทรวงนี้ เราจึงจะมาหารือปัญหาเกี่ยวกับคนไทยในมาเลเซีย มีปัญหาหลายเรื่องด้วยกัน เช่น เรื่องเวิร์คเปอร์มิตไม่ได้รับความสะดวก อายุของเวิร์คเปอร์มิตที่สั้นลง จาก 50 ปีเหลือ 40 ปี จึงต้องหารือกันเพื่อขยายโอกาสให้คนบ้านเราได้ทำงาน เราเยี่ยมเยียนไปมาหาสู่กันและหารือกันเรื่องการพัฒนาร่วมกันบ่อยครั้ง ประการสำคัญคือจะต้องหารือกับนายกรัฐมนตรีมาเลเซียให้ท่านช่วยเรื่องการเจรจาสันติภาพระหว่างเรากับผู้ที่มีความเห็นต่าง โดยมีรัฐบาลมาเลเซียเป็นตัวกลาง เราอยากให้ในสมัยรัฐบาลนายกอันวาร์ ซึ่งได้แสดงเจตนารมย์ผ่านสื่อแล้วว่าอยากจะให้จบด้วยดี เราก็ยังมีความหวังว่าจะสำเร็จในรัฐบาลมาเลเซียชุดนี้ และโอกาสหน้าพวกเราประชาชาติจะเป็นรัฐบาล จะทำให้การเจรจานี้บรรลุผลโดยเร็ว เพราะการที่ประเทศสองประเทศสามารถบรรลุผลในเรื่องการรักษาความสงบ ไม่ใช่ปัญหาของประเทศใดประเทศหนึ่ง แต่เป็นปัญหาที่กระทบทั้งสองด้าน โดยเฉพาะการท่องเที่ยว เศรษฐกิจ ผมเชื่อว่าการพบกับนายกรัฐมนตรีอันวาร์ จะทำให้การเจรจามีความคืบหน้า”