‘เอ้’ ลั่นจะพลิก กทม.เป็นเมืองสวัสดิการต้นแบบอาเซียน การศึกษาไม่แพ้สิงคโปร์

Home » ‘เอ้’ ลั่นจะพลิก กทม.เป็นเมืองสวัสดิการต้นแบบอาเซียน การศึกษาไม่แพ้สิงคโปร์



‘เอ้’ ลั่น กทม.ไม่ใช่เวทีลองผิดลองถูก ต้องได้คนรู้จริง ชูเมืองสวัสดิการต้นแบบอาเซียน การศึกษาไม่แพ้สิงคโปร์ โวมีความพร้อมที่สุดด้านวิชาการ

เมื่อเวลา 18.30 น. วันที่ 20 พ.ค. 2565 ที่สถานีรถไฟหัวลำโพง พรรคประชาธิปัตย์ จัดเวทีปราศรัยใหญ่ ปิดท้ายก่อนการเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม. ให้นายสุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์ ผู้สมัครผู้ว่าฯ กทม. หมายเลข 4 และผู้สมัคร ส.ก.ทั้ง 50 เขต โดยมีนายอภิรักษ์ โกษะโยธิน อดีตผู้ว่าฯ กทม. นายเมธี อรุณ หรือเมธี ลาบานูน ว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.นราธิวาส นางฮูวัยดีย๊ะ พิศสุวรรณ อุเซ็ง ร่วมปราศรัย โดยมีประชาชนร่วมฟังจำนวนมาก

ในเวลา 19.30 น. นายอภิรักษ์ กล่าวปราศรัยว่า วันนี้พี่น้องชาวประชาธิปัตย์ได้ร่วมใจกันเป็นหนึ่งในการมาในสถานที่ที่มีความเปลี่ยนที่สำคัญยิ่งต่อการเปลี่ยนแปลงประเทศไทย และความเปลี่ยนแปลงของชีวิตของพวกเราทุกคน ตนขอโอกาสเล่าจุดเปลี่ยนในชีวิตของตน 4 เรื่อง ซึ่งจุดเปลี่ยนในชีวิตครั้งที่ 1 ของตนเริ่มที่สถานีรถไฟหัวลำโพง สมัยที่ตอนอายุ 18 ปี ตนเลือกเปลี่ยนแปลงชีวิตด้วยการเดินทางไปสถานีหัวลำโพง ไปเรียนหนังสือที่มหาวิทยาลัยเชียงใหม่และต่อมาได้แต่งงานที่ จ.เชียงใหม่

“จุดเปลี่ยนชีวิตครั้งที่ 2 คือตอนอายุ 30 ปี ผมสมัครเป็นสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์เมื่อปี 2534 ทำให้ตนได้ทำงานร่วมทุกข์ร่วมสุขกับสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์จนถึงทุกวันนี้ และจุดเปลี่ยนในชีวิตครั้งที่ 3 มีความสำคัญสำหรับผม คือการที่พรรคประชาธิปัตย์ให้โอกาสลงสมัครรับเลือกตั้งเป็นผู้ว่าฯ กทม. เมื่อปี 2547 ขณะนั้นผมอายุ 43 ปี ถือเป็นจุดเปลี่ยนที่สำคัญมาก เพราะได้รับโอกาสให้ทำงานรับใช้ประชาชนชาวกรุงเทพฯ ร่วมกับส.ก. และและสมาชิกสภาเขต (ส.ข.) ของพรรคประชาธิปัตย์ รวมถึงยังทำให้ได้มีโอกาสลงสมัครรับเลือกตั้งเป็นผู้ว่าฯกทม.ครั้งที่ 2 ในปี 2551”

นายอภิรักษ์ กล่าวอีกว่า วันนี้จะเป็นอีกวันหนึ่งที่ตนอยากมาเชิญชวนประชาชนชาวกรุงเทพมหานครทุกคนที่จะได้มีโอกาสเลือกเปลี่ยนแปลงชีวิตของพวกท่าน และจะเป็นจุดเปลี่ยนในชีวิตของตนครั้งที่ 4 ตนเชื่อมั่นว่าจะเป็นจุดเปลี่ยนแปลงชีวิตของชาวกรุงเทพฯ ทุกคน และประชาชนชาวไทย ในวันที่ 22 พ.ค.นี้ ชาวกรุงเทพฯ จะได้มีโอกาสเลือกเส้นทางที่กำหนดชีวิตและอนาคตของท่านและลูกหลานของท่าน รวมถึงของกรุงเทพฯในอีก 4 ปีข้างหน้า

นายอภิรักษ์ กล่าวต่อว่า พรรคประชาธิปัตย์เป็นพรรคที่อยู่คู่กับประเทศไทยและกรุงเทพฯ มาตลอดเวลากว่า 70 ปี และเป็นพรรคการเมืองที่เชื่อมั่นในการปกครองที่มีการกระจายอำนาจ รวมถึงเป็นพรรคที่ส่งเสริมการปกครองส่วนท้องถิ่น ในช่วงที่ตนเป็นผู้ว่าฯ กทม. ยังมีส.ข.ที่ร่วมสะท้อนปัญหาของประชาชนให้กับผู้อำนวยการเขตและผู้ว่าฯกทม.ในสภากรุงเทพมหานคร ขณะที่ความสำคัญของ ส.ก.ถือเป็นผู้ที่ทำงานใกล้ชิดกับประชาชนมาตลอดเวลา

“ในช่วง 9 ปีที่ผ่านมาที่เราไม่มีโอกาสได้มีการเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม. ผมเชื่อมั่นว่าประชาชนชาวกรุงเทพฯทั้ง 50 เขต จะมีโอกาสได้เห็นพวกเราชาวประชาธิปัตย์ ไม่ว่าจะเป็นสาขาพรรคในกรุงเทพฯ และบรรดาอดีตส.ก. ที่ยืนหยัดทำงานร่วมทุกข์ร่วมสุขกับประชาชนมาตลอดหลายปีที่ผ่านมา”

“สิ่งหนึ่งที่มีความสำคัญอย่างยิ่ง คือการที่พรรคประชาธิปัตย์ได้คัดเลือกบุคคลที่มีความรู้ ความสามารถ และมีความมุ่งมั่นตั้งใจในการมาอาสาทำหน้าที่ผู้ว่าฯ กทม. คือนายสุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์ ซึ่งเป็นบุคคลที่มีความพร้อมนำประสบการณ์ด้านการบริหารจัดการมาทำงานเคียงบ่าเคียงไหล่ร่วมกับผู้สมัครส.ก. และมาขับเคลื่อนนโยบายเปลี่ยนชีวิต เปลี่ยนเมือง และเปลี่ยนกรุงเทพฯ ให้กับประชาชนชาวกทม.”

นายอภิรักษ์ กล่าวต่อว่า นอกจากนี้ นายสุชัชวีร์ยังได้นำนโยบายแนวทางการใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัย หรือเทคโนโลยีดิจิตอล มาช่วยสร้างโอกาส และยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชน วันนี้กรุงเทพฯต้องการผู้ที่มีวิสัยทัศน์ มีความกล้าที่จะนำเสนอการยกระดับคุณภาพชีวิต ยกระดับเมืองของกรุงเทพฯให้เป็นเมืองชั้นนำในระดับโลก รวมถึงเป็นเมืองที่สามารถขับเคลื่อนเศรษฐกิจยุคใหม่ที่จะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงชีวิตของประชาชน

“ขอให้ทุกคนมาร่วมกันเปลี่ยนแปลงร่วมกับผม มาร่วมเปลี่ยนแปลงกรุงเทพฯ ไปด้วยกัน วันที่ 22 พ.ค.นี้ มาเปลี่ยนแปลงกรุงเทพฯ และเป็นจุดเปลี่ยนในชีวิตครั้งสำคัญด้วยการเลือกผู้สมัครจากพรรคประชาธิปัตย์คือ ดร.สุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์ หมายเลข 4 ในบัตรสีน้ำตาล และขอให้ช่วยกันกาบัตรเลือกผู้สมัคร ส.ก.พรรคประชาธิปัตย์ทั้ง 50 เขต ในบัตรสีชมพู มาเป็นส.ก.ของคนกรุงเทพฯ” นายอภิรักษ์ กล่าว

ต่อมาเวลา 19.50 น. นายสุชัชวีร์ ขึ้นปราศรัยว่า ตลอดเส้นทางตั้งแต่ประกาศตัวลงสมัครผู้ว่าฯกทม.วันที่ 13 ธ.ค. 65 เส้นทางนี้หฤโหดจริงๆ หนักหนาสาหัสจริงๆ หลายคนคงคิดว่าอยู่ดีไม่ว่าดี ชีวิตทุกสิ่งทุกอย่างก็ลงตัวดี ทำไมหาเรื่องออกมาใช้ชีวิตที่หฤโหดอย่างนี้ หลายท่านอาจจะคิดอย่างนั้น แต่ทุกวันที่ตนกลับบ้าน เจอคุณพ่อ คุณแม่ และภรรยา ตนจะบอกว่าทุกวันเป็นวันที่โชคดีที่สุดของตน ขอขอบคุณทุกประสบการณ์

“ไม่ว่าหลายเรื่องจะเป็นเรื่องร้าย แต่ก็สอนให้มีความเข้มแข็ง มีความอดทน มีสมาธิมากยิ่งขึ้น เพราะหน้าที่หลังจากนี้การเป็นผู้ว่าฯ กทม.นั้นต้องใช้พลังกาย พลังหัวใจ สติปัญญาทุกอย่าง เพราะเป็นงานที่หนักหนาสาหัส และยากจริงๆ ในเส้นทางนี้นอกจากจะพบกับเรื่องโหดๆ เยอะมาก เรียกว่าเล่าต่อเป็นวัน ถึงลูกถึงหลานเลย แต่เส้นทางนี้ผมมีโอกาสพบมิตรภาพใหม่ๆ ถ้าผมไม่มีโอกาสยืนหรือเดินเส้นทางนี้ คงไม่มีโอกาสพบเจอเลย”

นายสุชัชวีร์ กล่าวต่อว่า อยากขอบคุณพี่น้องประชาชนทุกคนที่ตนเดินตลอด 5 เดือนที่ผ่านมา เดินมาน่าจะทะลุสองล้านก้าวไปแล้ว รองเท้าก็ใช้ถึง 4 คู่แล้ว แตในเส้นทางนั้นตนพบรอยยิ้มของคนกรุงเทพฯ แม้จะมาพร้อมกับความยากลำบาก แต่ตนเห็นความหวังว่าคนกรุงเทพฯ รอว่าสักวันหนึ่งกรุงเทพฯ ต้องเปลี่ยน

นายสุชัชวีร์ กล่าวอีกว่า ตนภูมิใจที่เป็นตัวแทนของพรรคประชาธิปัตย์มายืนอยู่ตรงนี้ และภูมิใจที่สุดที่มีพี่ๆ น้องๆ ร่วมเส้นทางแห่งอุดมการณ์ในการเปลี่ยนกรุงเทพฯ ตนไมได้เดินคนเดียวแต่มีส.ก.ทั้ง 50 เขต ที่ร่วมเป็นพลังเปลี่ยนกรุงเทพฯ สำหรับตนแล้วไม่มีสิ่งใดตอบแทนหรือขอบคุณไปได้มากกว่าคำสัญญาที่จะบอกกับทุกคนว่า ตนจะทำหน้าที่นี้ให้ดีที่สุดและจะเป็นผู้ว่าฯ ที่มุ่งมั่นที่สุด

นายสุชัชวีร์ กล่าวต่อว่า มีหลายคนตั้งคำถามว่าทำไมปราศรัยที่หัวลำโพง เพราะที่นี่คือจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนบ้านเมือง ใน 4 ข้อ 1.เราเป็นประเทศแรกที่มีรถไฟใช้ในทวีปเอเชีย เมื่อ 126 ปีที่แล้ว 2.ข้างๆ เป็นสถานีรถไฟฟ้าใต้ดินหัวลำโพง ในห้องโถงใหญ่จะมีรายชื่อของคนไทยและต่างชาติที่มาร่วมสร้างรถไฟฟ้าใต้ดินสายแรกของประเทศไทย สายเฉลิมรัชมงคล หนึ่งในนั้นจะเห็นชื่อ”สุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์” อยู่ด้วย 3.ที่นี่ยังเป็นจุดเริ่มต้นของคนจำนวนมากที่มาจากต่างจังหวัดใช้รถไฟแห่งนี้ไปทำงานและเรียนหนังสือ และ4.เป็นข้อสำคัญที่สุดคือที่นี่จะเป็นจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนกรุงเทพฯ เราทำได้

“ตลอดเส้นทางที่เดิน ยิ่งเดินยิ่งรักคนกรุงเทพฯ เพราะเรามั่นใจว่าที่แห่งนี้มีศักยภาพเต็มที่ แต่ขาดผู้นำคนที่จะมาพัฒนาเมือง ผมมั่นใจในวิสัยทัศน์ที่ประกาศก้อง พร้อมกับ ส.ก.50 เขต 50 คนของพรรคฯ ที่มีหัวใจเดียวกัน มีความชัดเจนตั้งแต่วันแรกคือเราต้องเปลี่ยนกรุงเทพฯ ให้เป็นเมืองสวัสดิการที่ทันสมัยเป็นต้นแบบของอาเซียนให้ได้ ด้วยการเปลี่ยนเมืองที่มีปัญหาซ้ำซาก ให้ประชาชนมีคุณภาพชีวิตดีขึ้น”

“ทั้งแก้ปัญหาน้ำท่วม ติดตั้งไวไฟฟรีทั่ว กทม. ยกระดับการศึกษา เพิ่มสวัสดิการครู เพราะเราจะต้องให้ลูกหลานได้ศึกษาดีกว่าเรา หากเป็นผู้ว่าฯ เมื่อไหร่จะปฏิรูปหลักสูตรการศึกษาของโรงเรียนกทม.ให้ไม่แพ้สิงคโปร์ และทำโรงเรียนใกล้บ้านให้ดีที่สุด”

นายสุชัชวีร์ กล่าวต่อว่า ขอย้ำว่าวันที่ 22 พ.ค.นี้ ไม่ใช่เป็นการเลือกนักการเมือง แม้ผู้ว่าฯ มาจากการเลือกตั้งก็ตาม แต่เป็นการเลือกคนที่ทำได้ ทำเป็นจริงๆ ตนมีความพร้อมที่สุดด้านวิชาการ ไม่ว่าจะเป็นปัญหาน้ำท่วม การแก้ปัญหาจราจร บ้านนี้เมืองนี้ถ้าไม่ใช้หลักวิชาการแก้ปัญหา ก็แก้ปัญหาไม่ได้ปะผุอยู่ร่ำไป และกรุงเทพฯ ไม่ใช่เวทีการลองผิดลองถูก ต้องได้คนที่รู้จริง เข้าใจหลักวิชาการและเข้าใจปัญหาด้านวิศวกรรมเท่านั้น

“ผมทำมาแล้วทุกอย่าง และมุ่งมั่นทำสุดจริงๆ ถ้าผมเป็นผู้ว่าฯ กทม.ประสบการณ์ทั้งหมดจะทุ่มเทให้พี่น้องประชาชนคน กทม.จริงๆ ไม่ว่าผมจะโดนถาโถมด้วยอะไรก็ตาม ผมยืนแน่น ยืนนิ่งและพร้อมที่จะเดินไปข้างหน้าด้วยวิสัยทัศน์ที่ชัดเจนที่สุด ผมมีพลังมากพอที่จะดูแลประชาชนเพราะกรุงเทพฯ มีปัญหาสาหัสมาก วันนี้ผมพร้อมแล้ว ส.ก.ทั้ง 50 เขตก็พร้อม ผมเดินมาล้านก้าวแล้วเหลืออีกก้าวเดียวก้าวสุดท้าย วันที่ 22 พ.ค.นี้ ขอให้ทุกคนเข้าคูหากาเบอร์ 4” นายสุชัชวีร์ กล่าว

แท็กที่เกี่ยวข้อง

เรื่องอื่นที่น่าสนใจ