เส้นทางชีวิต "โต Silly Fools" มันถึงจุดที่ต้องเปลี่ยน? เพราะอะไรถึงออกจากวงการ

Home » เส้นทางชีวิต "โต Silly Fools" มันถึงจุดที่ต้องเปลี่ยน? เพราะอะไรถึงออกจากวงการ

กลายเป็นเจ้าของธุรกิจแบบเต็มตัว สำหรับ โต-วีรชน ศรัทธายิ่ง หรือ โต อดีตนักร้องนำวง Silly Fools (ซิลลี่ ฟูลส์) ที่ปัจจุบันผันตัวมาทำธุรกิจเนื้อและร้านอาหารชื่อดัง

ล่าสุด โต Silly Fools เล่าถึงชีวิตในวันวานตั้งแต่วัยเด็ก จนมาถึงช่วงการเป็นนักร้องนำวง Silly Fools ก่อนจะเปลี่ยนมาทำวง Hangman และออกจากวงการบันเทิง มาสู่การเป็นคนทำธุรกิจด้านอาหาร ผ่านทางรายการ LEVEL UP ทางยูทูบแชนแนล Thairath Online Originals

ชีวิตวัยเด็ก

เคยโดนครูคอมเพลนว่าทำไมชอบนั่งเหม่อในห้องเรียน ซึ่งเจ้าตัวบอกว่าในตอนนั้นคิดถึงแม่ และชอบคิดอะไรไปเรื่อย ทำไมต้องมาเรียนหนังสือ และคุณแม่ต่อว่าเยอะมากว่าทำไมไม่เรียนหนังสือให้ดีๆ ซึ่ง โต ในวัย 8 ขวบ ก็คุยกับแม่ว่าอยากให้เรียนดีๆ เพื่อให้มีกินตอนโตใช่ไหม ไม่ต้องห่วง คิดว่าตัวเองสามารถมีกินได้ แต่จะไม่มีวันเรียนให้ได้อันดับ 1 เพราะมันเสียเวลา จะเรียนให้ผ่านให้แม่พอใจแล้วกัน ถ้าจะมีกินมันต้องไม่ใช่เรียนอันดับ 1 มันต้องคิดให้มากกว่านี้

เท่าที่จำได้ตอนเด็ก แม่ชอบเปิดเพลงให้ฟัง แล้วตนนั่งฟังเพลงที่แม่เปิดอยู่คนเดียว และจะคิดทำนอง เนื้อร้อง ตอนอายุ 6-7 ขวบ จะนอนคิดแบบนี้ตลอด และใส่ของตัวเอง โดยเอาสิ่งที่เขาร้องหรือทำนองมันออกไป และจะคิดของตัวเอง อันนี้ทำมาตั้งแต่ยังเล็กมาก

ส่วนเหตุผลที่อยู่ดีๆ ถูกส่งไปเรียนเมืองนอกตอน ม.3 คือ เคยถูกคน 50 คน รุมทำร้าย แต่รอดมาได้ แม่เลยส่งไปเรียนที่ประเทศอินเดีย เป็นโรงเรียนอังกฤษโบราณที่อยู่บนเทือกเขาหิมาลัย ตอนนั้นดีใจมาก ก็ตื่นเต้น อยู่ที่นั่นมารยาทดี กลายเป็นผู้ดีอังกฤษ ซึ่งแม่ชอบ ก็ไปเรียนประมาณปีครึ่งและสอบเทียบเข้ามหาวิทยาลัย ตอนที่ไปเรียนที่นั่นเริ่มชอบด้านดนตรี พอสอบเทียบเข้าเรียนมหาวิทยาลัยด้านบริหารก็จริง แต่ก็เริ่มทำงานด้านดนตรีแล้ว

เป็น โต Silly Fools ได้ยังไง 

พอเรียนมหาวิทยาลัยมีโอกาสไปฟังเพลงเล่นสด จากนั้นเขาเชิญขึ้นไปร้องบนเวทีตามที่เพื่อนบอก เราก็ร้อง แล้ววงนั้นก็เตะนักร้องเก่าออกแล้วเอาเราไปร้องแทน ซึ่งก็คือวง Silly Fools นี่แหละ

ซึ่งเราไม่คิดถึงผล เราคิดถึงสิ่งที่ทำว่าให้ทำให้ดีก่อน ผลออกมาจะดังหรือยิ่งใหญ่ไม่เคยอยู่ในทุกเรื่องที่ทำ โอกาสไม่ได้อยู่ในการคอนโทรลของตน โอกาสถูกส่งมาจากที่อื่น ฉะนั้นหน้าที่ของเราทำให้ดีพอ โอกาสจะไปถึงไหนมันก็ไปของมันเอง ส่วนเพลงตัวเองที่ชอบที่สุดคือ ผิดที่ไว้ใจ

วงของเราไม่ได้เป็นวงที่แมสขนาดนั้น เป็นวงฟังยากที่แมส ถ้าเต็ม 10 คะแนน สำหรับวงตนประมาณ 7 คะแนน ด้วยความที่มีความปรัชญา ดนตรี ซาวนด์จะละเอียดกว่า เลยไม่ได้หวังให้มันกว้างมาก ผู้ใหญ่ที่เคยทำงานด้วยยังบอกว่าวงไม่ดังหรอกเมืองไทย เพราะมันแอดวานซ์ไปหน่อย

เหตุผลที่เปลี่ยนจากนักร้องนำวง Silly Fools มาเป็นนักร้องนำวง Hangman

ตอนนั้นมันจบสิ้นกับ Silly Fools ไปแล้ว และเรายังต้องทำต่อ เวลาเราขึ้นมาถึงระดับที่เป็นวงใหญ่ในค่าย มันเป็นเรื่องธุรกิจแล้ว มันมีคนเกี่ยวข้องเยอะ มีคนเสียหายถ้าผมจะหยุดไปดื้อๆ เยอะ เราก็ต้องมีมารยาท ก็ต้องทำให้ต่อเนื่อง Hangman ก็เป็นสิ่งที่ตนต้องทำตามสัญญาให้ครบ แต่ว่าทำให้เต็มที่ เป็นงานที่เป็นตัวตนที่สุด

ถามว่าตอนนั้นเกิดอะไรขึ้นกับ Silly Fools คือเราเป็นผู้ใหญ่ขึ้น ในฐานะคนเขียนเพลง เราคิดเกี่ยวกับสิ่งที่จะเขียนมาก พอเริ่มคิดเรื่องของชีวิต โดยเฉพาะเนื้อหาที่เขียนจะเขียนเรื่องจริง ไม่สมมติเรื่องขึ้นมาเพื่อเขียนเพลงให้มันดัง มันไม่ใช่สไตล์ พอหาเรื่องความหมายของชีวิตมากขึ้น จนมาเจอศาสนาอิสลาม มีความคิดเกี่ยวกับชีวิตที่คนละเรื่องกับ ณ วันนั้นไปเลย คิดไม่เหมือนเดิมเลย มีความรู้ไม่เหมือนเดิมมากกว่าเดิมมหาศาล มันเป็นจุดต่อของชีวิต เปลี่ยนชีวิตในอีกเฟสหนึ่ง

ตอนนั้นอายุประมาณ 28-29 ปี มันก็ต้องเปลี่ยนแปลง จะสำมะเลเทเมาตลอดเวลาไม่ได้ ใช้ชีวิตแบบร็อกสตาร์มันก็ไม่ใช่แล้ว ต้องรักษาการเป็นนักร้องนำ ต้องมีพลังมหาศาล เรื่องเมาคือไม่ได้เลย แล้วไลฟ์สไตล์ร็อกสตาร์มันขัดกับอิสลามหมดเลย แล้วความคิดแบบอิสลามเป็นสิ่งที่เราอยากเป็นตั้งแต่แรก คือการมีครอบครัว มีลูก มีความสุขแบบเพียวที่ไม่ต้องแสดงให้คนอื่นเห็น เป็นความสุขที่ไพรเวตมาก สำหรับเรามันเป็นความจริงของเรา มันก็ถึงจุดที่ต้องเปลี่ยน เลยต้องจบกับ Silly Fools ไป

แต่มันจบไปดื้อๆ ไม่ได้เพราะยังมีสัญญา มันก็ต้องทำต่อ เลยเป็นวง Hangman เพราะ Silly Fools ไม่เข้าใจวิถีของเราแล้ว แต่ Hangman พร้อมที่จะเข้าใจเพราะเป็นน้องรุ่นใหม่ พอ Hangman มาถึงจุดที่เราบอกว่าต้องจบตรงนี้แล้วนะ เขารู้ว่าเราอึดอัดมาก ไม่ต้องฝืนตัวเองหรอก เราก็โอเคต้องจบ

ทำไมถึงเลือกกระโดดลงจากยอดเขาที่เราขึ้นไปจุดสูงสุดแล้ว

ผมโล่งเลย ไม่ต้องทำแล้ว ผมมองตัวเองแค่นี้ คนอื่นเขาอยากเป็นเหมือนผมเพราะเขาไม่ได้เป็น ผมเป็นไปแล้ว เขาไม่มีวันรู้ว่ารสชาติมันเป็นยังไง ผมชิมแล้ว เวลาคนอิ่มแล้ว ต่อให้มีจานละ 5 หมื่นมาวางเหมือนที่ผมกินไปแล้ว คนถามว่าไม่เสียดายเหรอทิ้งจานนั้นน่ะ ผมอิ่มแล้ว กินไม่ได้แล้ว 

ผมเข้าใจแล้วว่ารสเป็นยังไง ผมลิ้มรสมาแล้ว คุณไม่เคยลิ้ม คุณก็อาจเสียดาย แต่ผมไม่เสียดายหรอก ต่อให้มูลค่าจานที่ 2 จะแพงขึ้นมากกว่าจานแรก ผมไม่สนใจหรอกเพราะมันอิ่ม มันเข้าใจแล้วว่าคืออะไร มันไม่ตอบโจทย์ของผมแล้ว มันก็ดำเนินต่อไป ผมว่าคนที่พูดแบบนี้พูดในฐานะคนที่มองผม แต่เขาไม่ได้เป็นผม 

ผมว่าหลายๆ คนที่เป็นแบบอาชีพเหมือนที่ผมเป็นเขาก็อยากจะเลิกนะ แต่เขาเลิกไม่ได้ เขาใจไม่เด็ดเท่าผม เขาอาจไม่ได้คิดถึงตัวตนว่าเขาเป็นอะไร เขาคิดว่าเขาต้องเป็นในอาชีพนี้ไปตลอด แต่ผมไม่ได้คิดแบบนั้น แนวคิดไม่เหมือนกัน ฉะนั้นผมก็เลยเลิกได้

ผมคิดว่าคนเรามีอะไรมากกว่าการเป็นแค่ตรงนี้นะ คนเรามีค่ามากกว่านั้นเยอะ ต้องมีเวลาให้กับตัวเอง อย่าไปกลัว กลัวมันไม่มีวันได้เป็นหรอก แต่ถ้าเรายังฝืน ที่เราทำแบบนี้ได้ มันเป็นในสิ่งที่เราไม่ชอบก็ไม่มีความสุขอยู่ดี ผมลองไปก่อนดีกว่า

ทำธุรกิจด้านอาหาร และมีชื่อเสียงจากการเปิดร้าน เนื้อแท้

ผมไม่ใช่นักธุรกิจ เป็นแค่คนที่ทำอะไรตามที่ตัวเองต้องการ ร้านดังได้ขนาดนี้ไม่ใช่เพราะตน ร้านนี้เกี่ยวข้องกับหลายคนมาก การทำเกี่ยวกับเนื้อชอบมาตั้งแต่เป็นนักร้อง จริงๆ อยากทำอสังหาริมทรัพย์ด้วย ชอบแต่งบ้าน ชอบสถาปัตยกรรม อยากเป็นนักเผยแพร่ก็ยังเป็นอยู่

เรื่องการทำเนื้อชอบมานาน แต่เราไม่สามารถเป็นชาวนาได้เพราะร่างกายไม่สู้ เราไม่แข็งแรงเท่าเขา เราขี้เกียจ แต่เราสามารถควบคุมและให้คนที่แข็งแรงทำให้ได้ เรารู้ว่าเราต้องการอะไรมากกว่า เลยมีโอกาสทำธุรกิจ นำเสนอสิ่งดีๆ ให้ผู้คน สำคัญคือทำให้ตัวเองกินก่อน หน้าที่เราคือคิดว่าทำอะไรแล้วคนส่วนใหญ่จะชอบไหม เพราะถ้าไม่ชอบก็ทำต่อไม่ได้ ต้องมีคนชอบกับเราด้วย แต่ก็ไม่ให้แมสเกินไป คนชอบอย่างเดียวแต่ฝืนความต้องการของตัวเอง อันนี้ก็ไม่ทำเหมือนกัน

เอาหลักศาสนามาทำธุรกิจแบบ 100 เปอร์เซ็น คือต้องเอาเงินที่ไม่ผิดหลักมาใช้ อย่างเงินดอกเบี้ยจะเอามาใช้ไม่ได้ ดังนั้นจะกู้เงินมาทำไม่ได้ เวลาพูดพีอาร์ต้องมีความจริงในนั้น ฉะนั้นต้องทำคุณภาพสินค้าให้ได้ดีตามต้องการ แล้วเวลาที่พูดถึงสินค้าเสนอให้คนมันคือเรื่องจริง ไม่ฝืนตัวเองหรือโกหก เงินที่เอามาต้องสะอาด การโฆษณาต้องไม่เกินควร

การบริหารภายในต้องดูให้ละเอียดว่ายุติธรรมไหม เรื่องผลตอบแทนบางทีเราสู้บริษัทอื่นไม่ได้ แต่คนที่อยู่กับตนที่เป็นตัวจริงส่วนใหญ่จะไม่ออกไปไหน เพราะไม่ใช่แค่เรื่องเงิน แต่เป็นเรื่องสิ่งแวดล้อม ถ้าเขามีความสุข เขาก็จะอยู่เรื่อยๆ พร้อมที่จะโตไปด้วยกัน มันจะขัดกับหลักการธุรกิจจริงๆ เพราะธุรกิจจริงๆ ก็จะสนใจว่าทำยังไงถึงได้กำไร มองเป้าหมายเราต้องดีกว่าคนอื่น 

ซึ่งในธุรกิจเราทำที่เป็นลายเซ็นของเราจริงๆ เราจะค่อยๆ ใจเย็นๆ และคู่แข่งทำอะไรเราไม่ได้ เพราะเขาไม่มีวันเป็นตัวตนแบบเดียวกัน ถามว่าในชีวิตเคยผิดพลาดไหม มีอยู่แล้ว แต่อย่าให้แก่นของเราผิดพลาด อย่าหลอกตัวเองว่าเราเป็นใคร อันนี้สำคัญมาก

วันนี้เราเป็นใคร

ผมก็ยังเป็นโตตั้งแต่วันแรก ยังเป็นโตตั้งแต่ตอน 6 ขวบยังไง ผมก็ยังเป็นอย่างนี้ ผมว่าผมเจอแก่นตั้งแต่เล็กยันปัจจุบันก็ยังเป็นอย่างนี้ วันนี้ความสุขคือครอบครัวของผม ผมชอบอยู่บ้านครับ ผมมีความสุขกับลูก แต่ผมคิดว่าคนสมัยนี้ลืมความสุขตรงนี้ไปเยอะ จึงทำให้คนหลงทางในการหาความสุข เขาลืมไปว่าครอบครัวคือแก่นของความสุข

ตอนนี้ใช้ชีวิตมาหมดพอสมควรแล้ว ก็ไปทีละสเตป ไม่รู้อะไรจะมาในอนาคต ไม่ได้คิดไปไกลมาก เพราะไม่เคยเป็นไปตามที่คิดส่วนใหญ่ ก็ถ้าแก่เร็วก็เป็นไปตามคนแก่ ถามว่าอยากให้คนเรียกอะไร ก็เรียกว่าลุงโตๆ เวลาผมไปไหนเด็ก 10-12 ขวบ เรียกลุงโตๆ และขอถ่ายรูป คนอายุ 30 กว่าก็มี ก็เรียกว่า โต Silly Fools ไปเรื่อยๆ แล้วกัน บังโตก็มี เพราะอาจจะทำเรื่องศาสนา ก็แล้วแต่นะครับ แต่อย่าเรียกไอ้โตแล้วกัน เพราะจะโกรธ (หัวเราะ)

แท็กที่เกี่ยวข้อง

เรื่องอื่นที่น่าสนใจ