เศรษฐา แจงที่มาเงินกระเป๋าตังค์ดิจิทัล 1 หมื่น ย้ำไม่ลง ส.ส. เหตุชำนาญด้านบริหาร

Home » เศรษฐา แจงที่มาเงินกระเป๋าตังค์ดิจิทัล 1 หมื่น ย้ำไม่ลง ส.ส. เหตุชำนาญด้านบริหาร



เศรษฐา แจงที่มาเงิน 10,000 ในกระเป๋าตังค์ดิจิทัล โวกระตุ้นศก.ครั้งใหญ่ โต้ไม่ลง ส.ส. ไม่ใช่รอเก้าอี้บริหาร แต่ไม่อยากแย่งโควตาคนที่ชำนาญกว่า

เมื่อวันที่ 6 เม.ย. 2566 นายเศรษฐา ทวีสิน ประธานที่ปรึกษาหัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย (พท.) ให้สัมภาษณ์ข่าวสด-มติชน หลังเปิดตัวเป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรคเพื่อไทยอย่างเป็นทางการ ว่า ภารกิจต่อจากนี้ไปจนถึงวันที่ 14 พ.ค. คือการเดินสายเผยแพร่นโยบายให้กับประชาชนทราบ ซึ่งเราได้เปิดนโยบายออกไปแล้ว มีหลายเรื่องที่ต้องการความกระจ่าง และลงในรายละเอียด ถือเป็นภารกิจสำคัญมากกว่าการที่จะไปห่วงว่าใครจะได้รับเลือกให้เป็นนายกฯ

“แคนดิเดตนายกฯ พรรคเพื่อไทย ทั้ง 3 คนมีความรัก มีความเคารพซึ่งกันและกัน มีความสนิทสนม พูดกันรู้เรื่อง ฉะนั้น วันเลือกตั้ง 14 พ.ค. คณะกรรมการบริหารพรรค (กก.บห.) ประชุมตกลงจะเลือกใคร อีก 2 คนก็ยินดี ยืนยันว่าทั้ง 3 คนมีความพร้อม” นายเศรษฐา กล่าว

เมื่อถามว่า มีการตั้งคำถามว่าไม่จริงใจ และจะรอเพียงตำแหน่งบริหารอย่างเดียว โดยไม่ยอมลงมาเล่นการเมืองเต็มตัวในฐานะ ส.ส. นายเศรษฐา กล่าวว่า ตนเชื่อว่า ความถนัดเป็นเรื่องสำคัญ ประเทศมี 3 สถาบันหลัก ได้แก่ 1.ฝ่ายนิติบัญญัติ คือรัฐสภา 2.ฝ่ายตุลาการ และ 3.ฝ่ายบริหาร คือคณะรัฐมนตรี (ครม.) นำโดยนายกรัฐมนตรี ความชำนาญของตนอยู่ที่ฝ่ายบริหาร ไม่ว่าจะเป็นรัฐมนตรี รองนายกฯ หรือนายกฯ ถือเป็นฝ่ายบริหาร วันนี้ตนเสนอตัวมาอยู่ในฝ่ายบริหาร ไม่ใช่ฝ่ายนิติบัญญัติ ซึ่งพรรคเพื่อไทยมีบุคคลที่ทรงคุณภาพจำนวนมาก หลายท่านมีความสามารถด้านกฎหมาย ในรัฐสภา

“ผมไม่มีความชำนาญในสภาฯ จะไปกินโควตาคนอื่นทำไม หากเราได้คะแนนเสียงน้อยไม่ได้จัดตั้งรัฐบาลแล้วผมไปเป็นส.ส. ผมเก่งสู้หลายคนไม่ได้ ผมจะเข้าไปกินพื้นที่บุคคลเหล่านั้นทำไม ผมไปแย่งเขาทำไม ผมไปทำประโยชน์ได้ไม่เท่ากับอีกหลายคน ผมก็ต้องให้กับคนที่มีความรู้ความสามารถที่ถูกทางได้ทำงานไป ผมพยายามไม่อ้างรัฐธรรมนูญปี 2560 อนุญาตให้ผมไม่ต้องเป็น ส.ส. อันนี้คือความคิดของผมคนเดียว เพราะผมมีความชำนาญด้านการบริหาร

แต่ถ้าพรรคเพื่อไทยจะมีการเสนอให้แก้ไขรัฐธรรมนูญ เพื่อให้นายกฯ มาจาก ส.ส. ผมก็ยินดีที่จะร่วมโหวตให้ ในฐานะสมาชิกของพรรคเพื่อไทย ยืนยันอีกครั้งว่าพร้อมทำตามกฎ ทำตามเสียงส่วนมาก เพราะจิตใจของผมยึดโยงกับประชาชนเป็นหลัก” นายเศรษฐา กล่าว

เมื่อถามกรณีนโยบายแจกเงิน Digital wallet 10,000 บาท ทำให้หลายฝ่ายตั้งข้อสังเกตว่าเป็นการแจกเงินอีกแล้ว และจะเอาเงินมาจากไหน นายเศรษฐา กล่าวว่า ปัจจุบันเศรษฐกิจโต 2.6% ในขณะที่ประเทศอื่นซึ่งเคยเป็นรองเรา ตอนนี้โตขึ้น 5% ถือว่าเราอยู่ในภาวะย่ำแย่ เหมือนคนป่วยที่อยู่ในห้องไอซียู

นายเศรษฐา กล่าวต่อว่า หลายนโยบายของพรรค จะเป็นการกระตุ้นครั้งยิ่งใหญ่ เพื่อให้เรากลับมาทำมาหากิน มีรายได้ที่เหมาะสมได้ ฉะนั้น เราต้องการการกระตุ้นเศรษฐกิจครั้งยิ่งใหญ่ที่สุด จำนวนเงิน 10,000 บาท ประกอบด้วย 1.ระยะเวลาในการใช้ คือ 6 เดือน ร้านค้า เอสเอ็มอี อุตสาหกรรมทั้งหลายจะได้ซื้อของมาตุนไว้ เพื่อจะได้มีการซื้อขาย มีการจับจ่ายใช้สอยเกิดขึ้น ทำให้เกิดการหมุนเวียนเศรษฐกิจ

2.ระยะทางที่เราวางไว้เบื้องต้นคือ 4 กิโลเมตร ซึ่งเราตระหนักว่าไม่อยากให้คนเข้าไปจับจ่ายใช้สอยในห้างใหญ่ๆ อย่างเดียว เราอยากให้เขาใช้ในพื้นที่ชุมชุม เพื่อให้เกิดการกระตุ้นเศรษฐกิจชุมชนขึ้นมา ไม่ใช่มากระจุกตัวอยู่ที่เดียว แต่เมื่อเราเปิดตัวไปก็มีคนบอกว่า ในบางพื้นที่รัศมี 4 กิโลเมตรไม่มีอะไรเลย เราอาจจะนำบล็อกเชนมาขีดเส้นรัศมีใหม่ได้

นายเศรษฐา กล่าวว่า อย่างไรก็ตาม สำหรับคนที่มีอายุ 16 ปีขึ้นไป มีประมาณ 50 ล้านคน คิดเป็นเงินประมาณ 5 แสนล้านบาทต่อปี เราทำครั้งเดียวไม่ได้ ที่กำหนดให้ใช้หมดภายใน 6 เดือน สมมติพรรคเพื่อไทยได้รับเลือกตั้งเข้ามา เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล และการที่จะได้ใช้งบประมาณหลังจากจัดตั้งรัฐบาลแล้วนั้น ต้องใช้เวลา สิ่งที่จะเกิดขึ้นคือเราจะใส่เงินเข้าไปในกระเป๋า คนเริ่มไปจับจ่ายใช้สอย ได้ในเรื่องของภาษีที่เพิ่มมากขึ้น ภาษีนิติบุคคลจากห้างร้านก็จะเพิ่มมากขึ้น ซึ่งคิดเป็นเงินแสนล้านบาท

“การบริหารงบประมาณที่จะเกิดขึ้น อาจจะมาจากงบประมาณกลาง ในส่วนของอำนาจนายกรัฐมนตรี ซึ่งมีปีละแสนล้านบาท โดยอาจจะนำมาใช้ประมาณ 30% หรือประมาณ 3 หมื่นล้านบาท ซึ่งหากตนได้รับเลือกเข้ามาก็ไม่อยากใช้เงินนี้ เพราะหากเกิดกรณีฉุกเฉินขึ้นมา เราควรจะไปโฟกัสที่รายได้มากกว่า หรือกรณีที่บางคนบอกให้ไปตัดงบประมาณทหารมา ตรงนี้ก็ไม่สามารถทำได้ เราต้องเข้าใจว่างบประมาณบางตัวก็ยังมีความจำเป็นอยู่ แต่อาจขอแบ่งมาบ้าง” นายเศรษฐา กล่าว

แท็กที่เกี่ยวข้อง

เรื่องอื่นที่น่าสนใจ