นายกรัฐมนตรีไทย เศรษฐา ทวีสิน ปรากฎตัวบนหน้าปก นิตยสารไทม์ (TIME) ฉบับที่จะตีพิมพ์วันที่ 25 มีนาคม 2024
นิตยสารดังกล่าวนำภาพนายกฯ เศรษฐา ขึ้นปกพร้อมพาดหัวว่า “The Salesman – Thai Prime Minister Srettha Thavisin is open for business in a country that feels shortchanged by his election” หรือแปลได้ว่า “เซลส์แมน เศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีไทย พร้อมเปิดกว้างทางธุรกิจ ในประเทศที่รู้สึกว่าไม่แฟร์เลย ที่เขาถูกเลือกเข้ามา“
ในการให้สัมภาษณ์กับนิตยสารไทม์ เศรษฐากล่าวถึงนโยบายทางเศรษฐกิจของเขาที่มีเป้าหมายกระตุ้นการเติบโตของเศรษฐกิจไทย และยกระดับสถานะของไทยบนเวทีโลก
ตั้งแต่เข้ารับตำแหน่งเมื่อเดือนกันยายนปีที่แล้ว นายกฯ ไทยวัย 62 ปี เดินทางไปต่างประเทศถึง 10 ครั้ง โดยมีจุดหมายที่ สหรัฐฯ จีน ญี่ปุ่น และการเข้าร่วมการประชุมเศรษฐกิจโลก หรือ World Economic Forum ที่เมืองดาวอส สวิตเซอร์แลนด์ ด้วยเป้าหมายดึงดูดนักลงทุนต่างชาติให้เข้ามาลงทุนในโครงการขนาดใหญ่ของไทย
โดยเขากล่าวกับ TIME ว่า “ผมต้องการบอกโลกว่า ประเทศไทยเปิดรับการทำธุรกิจอีกครั้งแล้ว”
นายกฯ เศรษฐา ยังพูดถึงการที่สิงคโปร์ได้เป็นเจ้าภาพจัดคอนเสิร์ตของนักร้องหญิงชาวอเมริกัน เทย์เลอร์ สวิฟต์ เพียงประเทศเดียวในอาเซียน โดยบอกว่า “สิงคโปร์ฉลาดมาก หากเป็นผมก็จะทำแบบเดียวกัน” และว่า “โดยธรรมชาติแล้ว ไทยมีหลายอย่างที่น่าดึงดูดกว่า ไม่ใช่แค่เทย์เลอร์ สวิฟต์ แต่ยังรวมถึงนักร้องชั้นนำคนอื่น ๆ ด้วย ยังมีเทย์เลอร์ สวิฟต์ อีกมากมาย”
อย่างไรก็ตาม TIME ระบุว่า ตำแหน่งนายกฯ ของเศรษฐา มาพร้อมเสียงวิจารณ์ หลังจากที่พรรคเพื่อไทยได้รับคะแนนเสียงตามมาเป็นที่สองในการเลือกตั้งเมื่อปีที่แล้ว แต่กลับได้เป็นฝ่ายจัดตั้งรัฐบาลเนื่องจาก ส.ว. สกัดการขึ้นสู่อำนาจของพรรคก้าวไกล
นิตยสารไทม์ ยังสรุป 5 ประเด็นสำคัญที่มาจากการพูดคุยสัมภาษณ์นายกฯ เศรษฐา ทวีสิน ครั้งนี้ด้วย
1. ไม่เลือกข้างระหว่างรัสเซียกับยูเครน
เศรษฐา กล่าวว่า ต้องการ “เป็นกลาง” ในสงครามระหว่างรัสเซียกับยูเครน และยังกล่าวปกป้องการตัดสินใจของตนที่เชิญประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน เยี่ยมเยือนประเทศไทย เมื่อคราวที่ผู้นำทั้งสองพบกันที่กรุงปักกิ่งเมื่อเดือนตุลาคม โดยบอกว่า “ไทยไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของความขัดแย้งระหว่างประเทศ” และว่า “เราไม่สนับสนุนความรุนแรง เรายึดมั่นตามกฎหมายระหว่างประเทศ เราจะเลือกยืนข้างสันติภาพเพราะเราเชื่อว่า ประชาคมโลกจะต้องแบ่งปันสันติภาพเพื่อความเจริญรุ่งเรืองร่วมกัน”
2. มาตรา 112 จะคงอยู่ต่อไป
เศรษฐา กล่าวปกป้องกฎหมายอาญามาตรา 112 โดยระบุว่า “กฎหมายทุกอย่างได้รับความเคารพและบังคับใช้อย่างเท่าเทียมในไทย ซึ่งรวมถึงกฎหมายอาญามาตรา 112” การตัดสินคดีความใด ๆ นั้นขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของฝ่ายตุลาการ ซึ่งตนไม่อาจแทรกแซง
TIME ระบุว่า ตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน ปี 2020 มีผู้ถูกฟ้องในคดีที่เกี่ยวกับมาตรา 112 แล้วกว่า 200 คน ตั้งแต่เหตุการณ์ที่เกี่ยวกับการประท้วง ไปจนถึงการแสดงความเห็นทางสื่อสังคมออนไลน์
3. ต้องการแก้ปัญหาสงครามกลางเมืองในเมียนมา
นายกฯ เศรษฐา กล่าวว่า ไทยจะเป็นหัวหอกในการสร้างสันติภาพในเมียนมา “ประเทศในอาเซียนต่างเห็นพ้องกันว่าไทยจะเป็นผู้นำ” ในการเจรจาสันติภาพ รวมทั้งการส่งความช่วยเหลือทางมนุษยธรรมเข้าไปในเมียนมา
นายกฯ ไทย ยังกล่าวด้วยว่า “อาเซียนมีประชากร 650 คน โดย 10% เป็นชาวพม่า กล่าวคือ ยังมีสมาชิกในภูมิภาคที่ยังไม่ก่อให้เปิดประสิทธิภาพทางเศรษฐกิจ”
4. ยังเป็นผู้นำ – ในตอนนี้
เศรษฐายืนยันกับ TIME ว่า ตนยังคงเป็นผู้นำประเทศต่อไป หลังจากที่อดีตนายกรัฐมนตรีทักษิณ ชินวัตร เพิ่งได้รับการปล่อยตัวเป็นอิสระและกลับไปพักที่บ้านได้แล้ว ท่ามกลางการคาดหมายว่า แพทองธาร ชินวัตร บุตรสาวของทักษิณ และผู้นำพรรคเพื่อไทย อาจก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งนายกรัฐมนตรีในอนาคต
เศรษฐา กล่าวว่า “ผมแน่ใจว่าวันหนึ่งเธอ (แพทองธาร) จะก้าวขึ้นมาแข่งขันในตำแหน่งนายกรัฐมนตรี แต่ในช่วง 4 ปีจากนี้ ผมยังคงเป็นอยู่”
5. แฟนหงส์แดงตัวยง
เศรษฐาเปิดเผยว่าตนเป็นแฟนตัวยงของสโมสรฟุตบอล ลิเวอร์พูล ในลีกอังกฤษ และบอกว่า ตนไม่กังวลต่อการเปลี่ยนแปลงตำแหน่งผู้จัดการทีมของหงส์แดงในฤดูกาลหน้าแต่อย่างใด