“อภิสิทธิ์” ไม่แปลกใจ ปชป.ร่วมรัฐบาลเพื่อไทย บอกรู้ตั้งแต่วันลาออกจากพรรคแล้ว เชื่อส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อผู้สนับสนุน รอพิสูจน์คำพูดเลขาฯร่วมรัฐบาลแล้วพรรคโตขึ้น
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะอดีตหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) ให้สัมภาษณ์กรณัการร่วมรัฐบาลของพรรคประชาธิปัตย์กับพรรคเพื่อไทยว่า สิ่งแรกต้องบอกว่า ไม่ได้แปลกใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เป็นสิ่งที่มองเห็นมาระยะหนึ่งแล้วและจริงๆ แล้ว เป็นเหตุผลที่วันที่ตนลาออกจากพรรคประชาธิปัตย์ หลังจากที่เข้าไปคุยกับหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์คนปัจจุบัน ก็เข้าใจว่าทิศทางจะเป็นอย่างนี้ ตนถึงได้ตัดสินใจที่จะลาออกมาเพราะฉะนั้นเลยไม่ได้เลยไม่ได้รู้สึกแปลกใจอะไรและทราบมาตลอดว่า มีความพยายามในการติดต่อกันมาแบบนี้
ในฐานะที่ตนเป็นสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ มาเป็นเวลานานและผูกพันอยู่กับพรรค เช่นเดียวกับคนอีกจำนวนมาก ซึ่งยังคบหาพูดคุยแลกเปลี่ยนกัน ก็ต้องบอกว่า การกระทำครั้งนี้ กระทบกระเทือนจิตใจของสมาชิก อดีตสมาชิก และผู้สนับสนุนจำนวน และจะสังเกตเห็นว่า ในบรรดาบุคคลที่ไม่เห็นด้วย ในการลงมติเข้าร่วมรัฐบาลก็เป็นอดีตหัวหน้าพรรคฯ ทั้ง 3 คน
ที่ยังมีตำแหน่งอยู่ ดังนั้นสิ่งที่เกิดขึ้นปฏิเสธไม่ได้ว่า คงส่งผลกระทบอย่างรุนแรง ในแง่คน ที่เคยสนับสนุนพรรคมาอย่างยาวนาน และในช่วงหนึ่งถึง 2 วันที่ผ่านมา ที่มีคนมาพูดคุยหรือแสดงความคิดเห็นกับตนไปในทิศทางเดียวกันหมด แต่เมื่อตัดสินใจแล้วก็กลายเป็นทิศทางของพรรค ที่ผู้ที่เป็นผู้บริหารก็ต้องเดินหน้าและรับผิดชอบ
นายอภิสิทธิ์ กล่าวต่อว่า ไม่อยากให้เข้าใจว่า มันไม่ใช่เรื่องของความขัดแย้ง ในอดีตหรือการยึดติดกับเรื่องเก่าอันนี้เป็นเรื่องที่เขากระทบกระเทือนจิตใจ มองว่า มันขัดกับความเป็นพรรคประชาธิปัตย์ที่ยึดถือกันมาช้านาน ไม่ว่าจะเป็นแง่ของอุดมการณ์ที่เคยประกาศไว้ ในการตั้งแต่ก่อตั้งพรรคกับแนวทางที่พรรคทำงานทางการเมืองมาตลอด ตนขอย้ำว่า ประชาธิปัตย์ที่อยู่ได้มาอย่างยาวนานในอดีตที่ผ่านมา มีเหตุผลหลักๆ นอกเหนือจากแนวคิดแนวทางในการทำงานแล้ว ก็คือการพร้อมที่จะทำหน้าที่ฝ่ายค้าน และไม่ได้มุ่งแสวงหาในเรื่องของอำนาจโดยไม่มีเงื่อนไข นี่คือสิ่งที่ทำให้เป็นความแตกต่างกับหลายหลายพรรคในอดีต
และจะสังเกตเห็นว่าเมื่อใดก็ตามที่พรรคการเมืองไม่ว่าจะเป็นพรรคไหน สูญเสียสิ่งเหล่านี้ไปก็ยากที่จะกอบกู้ศรัทธากับคืนมา จึงสันนิษฐานว่า ทางผู้บริหารพรรคฯ ก็มีเหตุผลของเขา แต่ไม่แน่ใจว่า แนวความคิดที่มองว่า การเข้าไปเป็นรัฐบาลแล้ว ช่วยสร้างผลงานจะช่วยสร้างผลงานหรืออะไรก็แล้วแต่ เพื่อที่จะเรียกคะแนนนิยมมาเป็นจริงได้
แล้วเนื่องจากจริงๆแล้ว สังคมก็มองเห็นชัดเจนว่า การเข้าไปครั้งนี้ ไม่ได้มีผลในเชิงเสถียรภาพของรัฐบาล เพราะไม่มีพรรคประชาธิปัตย์รัฐบาลก็มีเสถียรภาพอยู่แล้ว ซึ่งการเข้าไปร่วมครั้งนี้ ก็ยังไม่มีความชัดเจนว่า จะมีนโยบายอะไรที่พรรคประชาธิปัตย์ จะเข้าไปผลักดันในตำแหน่งที่ได้มา ที่จะทำให้คนมองเห็นว่าไปสร้างความแตกต่างเปลี่ยนแปลงแต่เป็นเรื่องที่ผู้ที่ตัดสินใจจะต้องพิสูจน์ตัวเองต่อไป
ดังนั้น มองว่าการกระทำครั้งนี้ ส่งผลค่อนข้างรุนแรงกับบรรดาผู้สนับสนุนพรรค ที่สนับสนุนมายาวนาน ต้องติดตามไปต่อว่าอะไรจะเกิดขึ้น ในแง่ของผลจากการตัดสินใจครั้งนี้และความรับผิดชอบที่จะตามมา ” ส่วนที่เลขาธิการพรรคฯ ชุดปัจจุบันระบุว่า ที่ผ่านมาพรรคประชาธิปัตย์พ่ายแพ้มาโดยตลอด จึงตัดสินใจเข้าร่วมรัฐบาล เพื่อให้พรรคเติบโต อดีตหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า เดี๋ยวรอพิสูจน์ได้ว่า เป็นจริงหรือไม่
แต่ประเด็นอยู่ตรงที่ว่าในการพ่ายแพ้ที่ผ่านมา ทุกคนก็พูดชัดเจนว่า หลายครั้งเราอาจจะทำด้วยวิธีอื่น แล้วก็ประสบความสำเร็จมากกว่านี้ก็ได้ แต่ความเป็นประชาธิปัตย์ทำให้เราไม่ทำ เพราะฉะนั้นนี่คือสิ่งหนึ่งที่เปลี่ยนแปลงไป ซึ่งตนขอย้ำมีคำว่า ที่ประชาธิปัตย์อยู่มายาวนาน ไม่ใช่เพราะว่าอะไรก็ได้ หรือเพื่อก้าวเข้าสู่อำนาจ
ส่วนที่มีการอ้างว่าพรรคประชาธิปัตย์เข้าร่วมรัฐบาลในครั้งนี้ เพราะผู้บริหารเมื่อปี 53 ไม่อยู่ในพรรคแล้ว นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า เป็นเรื่องของแต่ละคนที่จะมอง ตนไม่ไปตอบโต้หรือวิจารณ์อะไร เพราะเรื่องตนคิดว่าไม่ใช่เรื่องผู้บริหารยุคในยุคหนึ่ง กรณีนี้เป็นเรื่องของอุดมการ แนวทางของพรรคที่ทำกันมาช้านาน สำหรับตนจึงอยู่ที่จริงอยู่ที่คนอาจจะบอกว่า พรรคแต่ละยุคแต่ละสมัย อยู่ที่ตัวคนหรืออยู่ที่ผู้บริหารความจริงสิ่งที่จะยึดเหนี่ยว เพราะบุคคลไม่มีใครที่จะอยู่ค้ำฟ้า ให้ความเป็นพรรคเป็นพรรคได้คือความคือ ความคิดอุดมการอุดมการณ์
ตนไม่ได้เป็นสมาชิกแล้วแต่ตนคิดว่าตนยังยึดถืออุดมการประชาธิปัตย์อยู่ การอ้างเช่นนี้เหมือนกับให้นายอภิสิทธิ์เป็นแพะหรือไม่ นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า ตนไม่ติดใจอะไร เพราะเหตุผลหนึ่งที่ตนลาออกมาจากพรรค เพราะรู้ว่าจะเป็นความขัดแย้ง เป็นปัญหา และตนถือว่าเมื่อพรรคได้เลือกผู้บริหารชุดนี้ ก็ต้องให้เขาทำงานอย่างเต็มที่แต่จริงๆ การตัดสินใจเข้าไปร่วมโดยไม่ร่วมตนคิดว่าสังคมก็มองไปในทางเดียวกันว่า ความจำเป็นมันไม่มี แต่เป็นเรื่องของการอยากเข้าสู่อำนาจมากกว่าหรือความเชื่อ ที่ว่าการจะประสบความสำเร็จ ทางการเมืองได้ต้องเข้าไปมีอำนาจ
การที่มองว่าการเข้าร่วมรัฐบาลครั้งนี้ พรรคประชาธิปัตย์ได้อะไร นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า “ได้ตำแหน่ง” ส่วนตอนนี้เหมือนบางคนมองว่าการเมืองวิปริต วิกฤติอุดมการณ์แล้ว นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า เป็นสภาพการเมืองเป็นอย่างนี้มาระยะหนึ่งแล้ว พอผ่านพ้นตรงนี้ไปแล้ว สิ่งที่ไปผลไปทำหน้าที่รัฐบาลตอนนี้ ต้องทำอย่างเดียว คือ
สร้างผลงานให้กับประชาชน ที่จะหาทางเรียกคะแนนนิยมกลับมาสำหรับตนสิ่งที่น่าเสียดาย คือ ประเทศอยู่ในช่วงที่ ค่อนข้างจะมีปัญหาในเชิงโครงสร้างเยอะมาก ไม่ว่าจะเป็นเรื่องขีดความสามารถทางการแข่งขัน ความเหลื่อมล้ำ สังคมสูงวัย และอีกหลายอย่าง ซึ่งกำลังต้องการระบบการเมืองที่ดีเข้ามาจัดการ ทั้งประสิทธิภาพและคุณธรรมแต่ขณะนี้ ในรอบปีกว่ากว่าที่ผ่านมาเกือบทุกองค์กรทุกสถาบัน กำลังถูกตั้งคำถามทั้งกระบวนการยุติธรรม นโยบายที่ใช้ในการหาเสียง สิ่งเหล่านี้มันบั่นทอนศรัทธา และการที่ประชาชนจะเข้ามามีส่วนร่วมในการที่จะทำให้การบริหารประเทศแก้ปัญหายากๆ ได้
จะมองว่าจะทำให้คนที่อกหักจากพรรคประชาธิปัตย์ไปเลือกพรรคประชาชนหรือไม่ นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า ตนไปตอบแทนคนอื่นไม่ได้ แต่ตนได้พูดไปแล้วว่า พรรคประชาชนอยู่อยู่ในจุดที่ค่อนข้างได้เปรียบในแง่ที่ว่าประชาชนมองว่า พรรคการเมืองต่างๆ วนเวียนและอยู่ในและอยู่ในวังวนของการแย่งชิงอำนาจ โดยไม่ได้คำนึงถึงเรื่องความคิดอุดมการณ์ ใครจะพูดอย่างไรก็แล้วแต่ สำหรับผู้สนับสนุนพรรคที่ร่วมรัฐบาลอยู่ขณะนี้ เขามองว่า เป็นเรื่องเดียวกัน เป็นเนื้อเดียวกัน จะอ้างอย่างเดียว คือ พรรค เพื่อป้องกันไม่ให้พรรคที่เป็นฝ่ายค้านอยู่ มาเป็นรัฐบาล แต่กลับกลายเป็นว่า
ทุกวันนี้ไปเพิ่มความเข้มแข็งให้กับพรรคที่เป็นฝ่ายค้านอยู่ ส่วนคะแนนจะสวิงหรือไม่ ตนไม่ได้อยู่ในการเมือง แต่ได้พบปะกับผู้คนคิดว่าคนจำนวนมาก มีความรู้สึกที่ขณะนี้มีความรู้สึกว่า เขาไม่มีทางเลือก แต่ถ้าเขาแต่ถ้าเขาก็คงเลือก พรรคที่ยังไม่มีแผล ยังไม่มีประเด็นในเรื่องของการที่จะค่อยทำอะไรที่มองว่าเป็นการทรยศ ต่อความคิดความเชื่อของคนที่เกี่ยวข้อง
ขณะในมุมของพรรคประชาธิปัตย์ ที่ตัดสินใจเข้าร่วมรัฐบาลครั้งนี้ อาจจะกระทบกับฐานเสียง โอกาสในการจะฟื้นฟูกอบกู้พรรคกลับมาคิดว่ามีหรือไม่ นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ตนไม่ได้บอกว่า ควรจะตัดสินใจทำตามฐานเสียงเสมอไป ปัญหามันอยู่ที่ว่าฐานเสียงด้วยเหตุผลอะไรและรับฟังได้จริงหรือไม่ อย่างที่บอกว่า ไม่ได้มีความจำเป็นในการเสริมเสถียรภาพของรัฐบาล ยังมองไม่เห็นว่า นโยบายที่จะเข้าไปผลักดันที่เป็นรูปธรรมที่ประชาชนจะเข้าใจรับรู้ได้ว่า เป็นเรื่องของประชาธิปัตย์จริงๆ คือ อะไร เพราะฉะนั้นจึงทำให้ตรงนี้เป็นเรื่องยากลำบากในการที่จะกอบกู้ศรัทธากับคืนมา
ส่วนโอกาสที่นายอภิสิทธิ์จะกลับมากอบกู้พรรคประชาธิปัตย์อีกครั้งเป็นไปได้หรือไม่ นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ตนพูดไปแล้วว่า ตนไม่ได้คิดตั้งพรรค ไม่ได้คิดจะไปไหนอยู่แล้ว แต่ตอนจะกลับมาประชาธิปัตย์ได้ ก็ต้องเป็นอุดมการณ์ประชาธิปัตย์แบบที่ตนเข้าใจ และที่การพูดถึงว่าพรรคประชาธิปัตย์บอบช้ำ ใกล้จะตาย แต่จะกลับมาฟื้นใหม่ได้โดยมีนายอภิสิทธิ์กลับมากอบกู้
นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า ไม่มีใครทราบอนาคตและการจะกอบกู้อะไรต่างๆ ไม่ใช่เรื่องง่ายอยู่แล้ว เพียงแต่ให้เวลาให้เวลา ในขณะนี้เป็นตัวพิสูจน์ก่อนว่าแนวทางที่ผู้บริหารชุดปัจจุบัน ที่สุดมันเป็นจริงหรือไม่ ถ้าเป็นจริงหลายคนที่วิเคราะห์ก็ผิด และพรรคก็เติบโตไป แต่สำหรับตนไม่ได้ยินดียินร้ายอะไร กับการเติบโตด้วยวิธีแบบนี้ จึงอยู่ที่ผู้บริหารเขาจะตัดสินใจอย่างไร
มีโอกาสสำหรับพรรคประชาธิปัตย์บนเส้นทางการเมืองที่มีความเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นหลายอย่าง นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ด้วยความที่ตนอยู่กับพรรคมานานมาก และรู้จักกับทุกคนที่สนับสนุนไม่มากก็น้อยมาโดยตลอด ยังเชื่อว่ามีคนจำนวนมาก ยังมีความผูกพัน ยังมีความรักความเป็นประชาธิปัตย์แบบที่เขาเคยรู้จัก ตนในวันข้างหน้าจะกลับมาตรงนั้นได้หรือไม่ ก็เป็นโจทย์ที่ยาก แต่ก็ไม่ใช่เรื่องที่จะเป็นไปไม่ได้
ขณะเดียวกัน มองว่า พรรคประชาธิปัตย์ขณะนี้ละทิ้งอุดมการณ์ และคำขวัญของพรรคไปหรือไม่ อดีตหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์กล่าวว่า ดูเหมือนพรรคเพื่อไทยเขาบอกเองว่า ประชาธิปัตย์ วันนี้ไม่ใช่ประชาธิปัตย์วันก่อน ส่วนที่พรรคเพื่อไทยบอกว่าอุดมการณ์คล้ายกันแล้วนั้น ก็ต้องถามพรรคเพื่อไทยเพราะเป็นคนเขียนหนังสือเชิญเข้าร่วมรัฐบาล
อย่างไรก็ตาม ในฐานะที่นายอภิสิทธิ์อยู่กับพรรคมานาน และต่อสู้กับพรรคเพื่อไทยมายาวนานคิดว่า สองพรรคนี้คืออุดมการณ์คล้ายกัน หรือเป็นอุดมการณ์เดียวกันหรือไม่ นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ถ้าพรรคเพื่อไทยเขามองว่า พรรคประชาธิปัตย์เปลี่ยนไปแล้ว ตนก็มองว่าพรรคเพื่อไทยยังไม่ได้เปลี่ยน ยังเหมือนเดิมทุกอย่าง และสิ่งที่หลายคน ไม่ใช่เฉพาะพรรคประชาธิปัตย์ ที่ประชาชนออกไปต่อสู้ และหลายเรื่องเป็นสิ่งที่ศาลพิพากษาแล้วก็ ยังคงดำรงต่อไปเป็นแนวทางของพรรคเพื่อไทยจนถึงปัจจุบัน