จากกรณีที่ พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว รองผู้บัญชาการกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง พล.ต.ต. พฤทธิพงศ์ นุชนารถ ผู้บังคับการตำรวจน้ำ และเจ้าหน้าที่เกี่ยวข้อง ได้แถลงการ ติดตามจับกุมผู้ต้องหาพร้อมเรือขนน้ำมันเถื่อนที่หายไปจากถ้าเทียบเรือตำรวจน้ำสัตหีบ จ.ชลบุรี ว่า หลังจากเรือขนน้ำมันเถื่อนของกลาง 3 ลำพร้อมลูกเรือ 15 คน หลายไป เมื่อวันที่ 12 มิ.ย. ก็ได้สืบสวนจนทราบว่า เรือทั้งหมดถูกนำไปจอดที่ประเทศกัมพูชา เพื่อหลบซ่อน และขายน้ำมันของกลางทั้งหมดที่ประเทศกัมพูชา
- ข่าวที่เกี่ยวข้อง : เจอแล้ว! เรือน้ำมันเถื่อน ของกลาง 3 ลำ หลังหลบหนีจากสะพานเทียบเรือ
ล่าสุด เรือน้ำมันเถื่อน 3 ลำ บรรทุกน้ำมันของกลางกว่า 300,000 ลิตร ก็กลับถึงไทย และเข้าเทียบท่าของตำรวจน้ำ จังหวัดสงขลา แล้ว ซึ่ง พฐ. ก็เก็บหลักฐานทั้งคืน และมีข้อมูลสุดช็อก หนึ่งในเรือทั้ง 3 ลำ น้ำมันของกลางเหลือเพียงก้นถัง แถมยังพยายามเปลี่ยนสภาพเรือตบตาเจ้าหน้าที่
ภาพเรือทั้ง 3 ลำ ประกอบด้วย เรือ เจ.พี., เรือซีฮอร์ส หรือ เรือกำไรเงิน และเรือดาวรุ่ง ที่แล่นเข้าเทียบท่าเรือ กองกำกับการ 7 กองบังคับการตำรวจน้ำ จังหวัดสงขลา พร้อมลูกเรือที่กลับมาด้วยรวม 8 คน ที่เหลือยังอยู่ระหว่างติดตามตัวกลับมา
ซึ่งหลบหนีหายไปขณะอยู่ในความดูแลของตำรวจน้ำ ที่บริเวณท่าเทียบเรือสัตหีบ จังหวัดชลบุรี และไปพบลอยอยู่ในน่านน้ำสากล ระหว่างไทยกับมาเลเซีย ก่อนตำรวจจะไปควบคุมกลับมาดำเนินคดี
พลตำรวจตรี พฤทธิพงศ์ นุชนารถ ผู้บังคับการตำรวจน้ำ เผยเส้นทางการหลบหนีของเรือทั้ง 3 ลำ ว่า กลุ่มผู้ต้องหาได้นำเรือไปซ่อน และพยายามเปลี่ยนสีเรือ และรูปพรรณสัณฐาน ไม่ให้โดนจับกุม สะท้อนว่า ผู้ต้องหา จะนำเรือกลับมาใช้อีก
อาทิ เรือกำไลเงิน ได้เปลี่ยนสีพื้นเรือจากเดิมสีแดงเป็นสีเขียว แต่เก็บงานไม่ละเอียด คาดว่าน่าจะรีบ เพราะถูกกดดันจากเจ้าหน้าที่ ส่วนน้ำมันในเรือทั้งหมดก็นำไปขายบริเวณน่านน้ำสากล ทำให้น้ำมันของกลางที่ตรวจค้นเรือทั้ง 3 ลำ จากกว่า 300,000 ลิตร ที่แม้ยังระบุปริมาณที่หายไปไม่ได้ชัดเจน แต่บางลำ เช่น เรือกำไลเงิน ปริมาณน้ำมันเหลืออยู่เพียงก้นถัง ประมาณ 1 คืบ เท่านั้น จึงควบคุมตัวผู้ต้องหาทั้งหมดไว้ เพื่อสอบปากคำ