เรอัล มาดริด 3-1 ลิเวอร์พูล : ชำแหละทุกความเป็นไปหลังศึก ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก เลกแรก

Home » เรอัล มาดริด 3-1 ลิเวอร์พูล : ชำแหละทุกความเป็นไปหลังศึก ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก เลกแรก



เรอัล มาดริด 3-1 ลิเวอร์พูล : ชำแหละทุกความเป็นไปหลังศึก ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก เลกแรก

การแข่งขัน : ฟุตบอลยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก
รอบ 8 ทีมสุดท้าย 2020/21
คืนวันอังคารที่ 6 เมษายน 2021
 
เรอัล มาดริด 3-1 ลิเวอร์พูล

สนาม : เอสตาดิโอ อัลเฟรโด้ ดิ สเตฟาโน

1. เกอิต้า กลายเป็นการตัดสินใจที่ผิดพลาดของ คล็อปป์Georginio Wijnaldum, Naby KeitaGeorginio Wijnaldum, Naby Keitaเยอร์เก้น คล็อปป์ เลือกที่จะดร็อป ติอาโก้ อัลคันทารา จากตำแหน่งมิดฟิลด์โดยส่ง นาบี เกอิต้า ออกสตาร์ทแทนที่โดยคาดการณ์ว่านายใหญ่ชาว เยอรมัน หวังจะใช้ความแข็งแกร่งของมิดฟิลด์ทีมชาติ กินี บดบี้กับแผงมิดฟิลด์เชิงสูงของ เรอัล มาดริด

แต่แผนการของ คล็อปป์ ไม่ได้เป็นไปอย่างที่คิดเมื่อเจ้าถิ่นใช้ทีเด็ดในการวางบอลยาวของ โทนี โครส ข้ามแผงมิดฟิลด์และแนวรับจนเป็นที่มาของการได้ทั้ง 2 ประตูในครึ่งแรกโดยที่ เกอิต้า แทบไม่ได้มีบทบาทกับทีมเลยทั้งเกมรับและเกมรุก

แม้กุนซือเฮฟวีเมทัลจะตัดสินใจอย่างเด็ดขาดเปลี่ยนตัว เกอิต้า ออกจากสนามตั้งแต่ก่อนจบครึ่งแรกแทนที่โดย ติอาโก้ แต่กลายเป็นสายไปเสียแล้วเมื่อทีมตกเป็นฝ่ายตามหลังถึง 2 ประตู

2. ไลน์แนวรับสูงถูกเผาเครื่องVinicius JuniorVinicius Juniorแม้ หงส์แดง จะเป็นทีมทีมเยือนและขาดเซ็นเตอร์แบ็คคีย์แมนประจำการแต่พวกเขายังคงดันไลน์แนวรับลอยสูงเช่นเคย ทว่าความพยายามที่จะบีบพื้นที่ เรอัล มาดริด เพื่อให้พวกเขาพบกับความยากลำบากในการเซ็ตเกมกลับไม่เป็นผลและกลายเป็นจุดที่เจ้าถิ่นใช้เล่นงาน เร้ดแมชีน จนได้ 2 ประตูก่อนจบครึ่งแรก

3. ครึ่งแรกที่ไม่เอาอ่าวMohamed Salah, Nathaniel PhillipsMohamed Salah, Nathaniel Phillipsลิเวอร์พูล จบครึ่งแรกด้วยสถิติการพยายามยิงประตูเท่ากับ 0 นับเป็นครั้งแรกที่เกิดขึ้นพับ หงส์แดง นับตั้งแต่พฤศจิกายน 2014 โดยเกมก่อนหน้านี้ที่พวกเขาไม่ได้มีโอกาสสับไกยิงในครึ่งแรกเลยเกิดขึ้นในการพบกับ เรอัล มาดริด ด้วยเช่นกัน

ขณะที่การเสีย 2 ประตูในครึ่งแรกของรอบน็อคเอาท์ในศึก ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก ของ หงส์แดง เกิดขึ้นเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 2005 ที่พวกเขาตกเป็นฝ่ายตามหลัง เอซี มิลาน ในนัดชิงชนะเลิศ 3-0

4. ทีเด็ดจากริมเส้นที่หายไป

Trent Alexander-ArnoldTrent Alexander-Arnoldนอกเหนือจาก นาบี เกอิต้า ที่ตกเป็นเป้าจากฟอร์มการเล่นของเจ้าตัวในเกมนี้ แข้งอีก 2 รายที่น่าผิดหวังสุดๆ หนีไม่พ้นฟูลแบ็คทั้ง 2 ข้างอย่าง เทรนท์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ กับ แอนดี้ โรเบิร์ตสัน

ร็อบโบ้ แทบจะหายไปจากเกมในครึ่งแรกเมื่อเจ้าบ้านเน้นเกมรุกที่อีกฝั่งโดยดาวเตะทีมชาติ สกอตแลนด์ ไม่ได้เคลื่อนที่เติมเกมรุกเลยก่อนที่จะกระเตื้องขึ้นมาบ้างในครึ่งหลัง ทว่าไม่ดีพอที่จะสร้างสรรค์โอกาสลุ้นทำประตูให้กับเพื่อนร่วมทีม

ขณะที่ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ ได้รับการคาดหวังว่าจะสามารถสานต่อฟอร์มการเล่นจากเกมที่ทีมเอาชนะ อาร์เซนอล 3-0 จากลูกครอสระดับเวิลด์คลาสของเจ้าตัวแต่กลายเป็นว่าเขาถูกเผาเครื่องในเกมรับครั้งแล้วครั้งเล่า ก่อนจะพลาดมหันต์กับช็อตพยายามโหม่งคืนหลังไปเข้าทาง มาร์โก้ อเซนซิโอ พังประตู 2-0 ก่อนจบครึ่งแรก

5. ลุ้นอีกเฮือกจากอเวย์โกลMohamed Salah, Sadio Mane, Thiago AlcantaraMohamed Salah, Sadio Mane, Thiago Alcantaraให้หลังจากการตกเป็นฝ่ายตาม 2 ประตูเมื่อจบครึ่งแรก ลิเวอร์พูล เป็นฝ่ายกลับมาเริ่มต้นครึ่งหลังได้อย่างกระตือรือล้นก่อนที่ลูกยิงแฉลบของ ดิโอโก้ โชต้า จะไปเข้าทาง โมฮาเหม็ด ซาลาห์ ได้ล่อเป้าในระยะเผาขนเป็นประตูตีไข่แตกตั้งแต่นาทีที่ 51 แต่ หงส์แดง ก็ไม่สามารถรักษาโมเมนตัมดังกล่าวเอาไว้ได้และกลายเป็น วินิซิอุส ที่สังหารประตู 3-1 อีกราว 10 นาทีถัดมา

ที่น่าผิดหวังยิ่งไปกว่านั้นสำหรับ เดอะค็อป คือจังหวะการได้ประตูของ ซาลาห์ จากลูกที่อาศัยโชคช่วยกลายเป็นเพียงครั้งเดียวที่พวกเขายิงตรงกรอบในเกมนี้จากโอกาสทั้งหมด 7 ครั้ง

แต่แม้ลูกทีมของ เยอร์เก้น คล็อปป์ จะเป็นฝ่ายผิดหวังในเลกแรกทว่าหากมองโลกในแง่ดีสุดๆ พวกเขายังมีประตูทีมเยือนตุนเอาไว้ 1 ลูก เหลือเพียงการกลับไปใส่เต็มสูบในรัง แอนฟิลด์ เลกที่ 2 เท่านั้น

แท็กที่เกี่ยวข้อง

เรื่องอื่นที่น่าสนใจ