ในช่วงการระบาดของโรคโควิด-19 ที่กินระยะเวลายาวนาน ส่งผลกระทบต่อการทำงานของคนบันเทิงจำนวนมาก กองถ่ายละครรวมทั้งอีเวนต์ต้องยกเลิกไปตามมาตรการป้องกันการระบาดของโรค ทำให้เหล่าดารานักแสดงและศิลปินต้องว่างเว้นจากการทำงาน ข่าวคราวอัปเดตเกี่ยวกับผลงานในวงการบันเทิงจึงหายไปจากหน้าสื่อ ทำให้สื่อต้องหันมาทำข่าวไลฟ์สไตล์ของคนดังจากโซเชียลมีเดียมากขึ้น โดยเฉพาะเรื่องราวที่น่ายินดีอย่างการตั้งครรภ์ของดาราหญิง ตามด้วยการอัปเดตความคืบหน้าของการตั้งครรภ์ และภาพสุดว้าวของรูปร่างหน้าตาที่สวยงามคุณแม่ดารา แม้แต่หลังคลอด สื่อก็ยังคงติดตามชื่นชมรูปร่างที่กลับมาผอมสวยราวกลับไม่เคยผ่านการตั้งครรภ์ของดาราหญิงหลายคน
แม้ว่าเรื่องราวการต้อนรับสมาชิกใหม่ตัวน้อยของครอบครัวคนดังจะเป็นเรื่องน่ายินดี แต่การที่สื่อพยายามนำเสนอภาพรูปร่างที่ “แซ่บเว่อร์” ของเหล่าคุณแม่ดาราทั้งก่อนและหลังคลอดซ้ำๆ กลับสะท้อนให้เห็นถึงสภาพสังคมไทยที่ยังไม่เคยข้ามพ้นระบบชายเป็นใหญ่ อีกทั้งยังเผยให้เห็นการทำงานของสื่อที่อาจส่งผลกระทบต่อสังคมในวงกว้างอีกด้วย
- “ปุ้มปุ้ย” อุ้มท้องใส่กางเกงยีนส์ หุ่นยังเป๊ะมาก แม่ทั้งสวยแซ่บยืนหนึ่งจริงๆ
- “มิว นิษฐา” เปิดท้อง 4 เดือนโชว์ความแซ่บ ขนาดถ่ายรูปหน้าสด ยังเป๊ะทุกองศา
- “ศรีริต้า” อวดหุ่นหลังคลอด 5 วัน คุณแม่เป๊ะมาก แม้แต่พุงที่ท้องก็ยังแทบมองไม่เห็น
- “ศรีริต้า” หวานละมุนแต่แอบเซ็กซี่ คุณแม่ถ่ายรูปอยู่บ้าน ทำไมสวยได้ขนาดนี้
- “ก้อย-ตูน” เฉลยเพศลูกแล้ว ตั้งชื่อ 2 พยางค์ ใครกันต้องเสียเงิน 1 ล้านบาท
ความสวยของแม่ใต้ระบบชายเป็นใหญ่
แต่ไหนแต่ไรมา “ระบบปิตาธิปไตย” หรือระบบชายเป็นใหญ่ ได้ควบคุมสั่งการให้ผู้หญิงที่เป็นแม่ต้องทำหน้าที่ทั้งเป็นแม่และเป็นเมีย ผู้หญิงต้องบำรุงร่างกายและดูแลตัวเองให้สวยงามอยู่เสมอเพื่อมัดใจสามี ซึ่ง ดร.ชเนตตี ทินนาม อาจารย์ประจำคณะนิเทศศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย อธิบายว่า จากการศึกษาเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ความรุนแรงต่อผู้หญิงในสื่อตั้งแต่ยุคที่เริ่มมีหนังสือพิมพ์ในประเทศไทย พบว่ามีสื่อโฆษณาจำนวนมากที่มีเนื้อหาสั่งสอนผู้หญิงที่เป็นแม่ ให้ดูแลความงามของตัวเองอยู่เสมอ โดยมุ่งเน้นที่ความงามอย่างสาวบริสุทธิ์ อย่างไรก็ตาม เมื่อเจาะจงไปที่กลุ่มดารานักแสดง ซึ่งในสมัยก่อนมักจะถูกคาดหวังให้มีความบริสุทธิ์ผุดผ่อง หากดาราหญิงคนใดตั้งครรภ์ ก็จะต้องหายหน้าจากวงการไปโดยปริยาย ไม่ใช่การถ่ายภาพน่ายินดีลงโซเชียลมีเดียอย่างทุกวันนี้
“ดารากับความเป็นแม่มันไม่ได้เลยในยุคก่อน แค่จะท้องก็มีปัญหาทางสังคมแล้ว ไม่ต้องพูดถึงว่าคนจะมาชื่นชมร่างกายของดาราสาว มันแทบเป็นไปไม่ได้เลย เพราะแค่ท้องคุณยังไม่ได้รับอนุญาตให้ท้อง มันเหมือนเป็นคำสั่งอย่างเด็ดขาดของปิตาธิปไตย ที่ดาราสาวไม่มีสิทธิเป็นแม่นะ ไม่อย่างนั้นก็จะดับไป” ดร.ชเนตตีกล่าว
คุณแม่แซ่บเว่อร์ในยุคทุนนิยม
อย่างไรก็ตาม ดร.ชเนตตีระบุว่า ความเป็นแม่ของดาราและคนดังเพิ่งจะมีพื้นที่ในสื่อเมื่อช่วง 10 – 15 ปีที่ผ่านมา จากกระแสสตรีนิยมคลื่นลูกที่ 3 ในช่วงทศวรรษ 1980s ที่เชิดชูบทบาทที่หลากหลายของความเป็นผู้หญิง ซึ่งรวมถึงความเป็นแม่ในลักษณะต่างๆ ตามด้วยกระแสสตรีนิยมคลื่นลูกที่ 4 ในช่วงปี 2000 ที่มีการรณรงค์ในเรื่องการไม่เหยียดเรือนร่าง ทำให้พื้นที่ความงามแบบแม่ที่ตั้งครรภ์สามารถปรากฏบนสื่อต่างๆ ได้ ในฐานะความงามที่แตกต่าง ต่างจากในอดีตที่ผู้หญิงตั้งครรภ์ต้องสวมเสื้อผ้ามิดชิด ขณะเดียวกัน เหล่าดาราคนดังก็สามารถเปิดเผยเรื่องการตั้งครรภ์ของตัวเองได้เช่นเดียวกับผู้หญิงทั่วไปด้วย
ทว่าสิ่งที่เกิดขึ้นในเวลาต่อมา คือการเติบโตของธุรกิจด้านสุขภาพและความงาม รวมถึงธุรกิจศัลยกรรม ที่เติบโตขึ้นในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ทำให้ระบบทุนนิยมที่มุ่งแสวงหาผลกำไรผนึกกำลังกับระบบชายเป็นใหญ่ กลายเป็นทุนนิยมปิตาธิปไตย และหาประโยชน์จากร่างกายของแม่ที่เป็นนักแสดง
“ทุนนิยมปิตาธิปไตยมองว่าร่างกายของดาราที่ตั้งครรภ์สามารถขายได้ มันสามารถที่จะแปลงเป็นสินค้าให้ผู้บริโภคซื้อและใช้ตาม เพราะฉะนั้น ธุรกิจพวกนี้ก็ทำให้ดาราที่ตั้งครรภ์หยุดสวยไม่ได้ เพราะระหว่างนั้น ผลิตภัณฑ์มันจะเข้าไง อาหารเสริมสำหรับแม่ ทำอย่างไรให้หลังคลอดปุ๊บ กลับมาหุ่นดีเลย หรือหน้าตาผิวพรรณดูไม่แก่ ไม่อ้วน เป็นคุณแม่สุดแซ่บ แม้กระทั่งคลอดแล้ว ลูกๆ ของเขาก็จะกลายเป็นโปรดักต์ต่อ เพราะฉะนั้น มันจึงทำให้นักแสดงเหล่านี้ต้องอยู่ในสปอตไลต์ เพราะมันทำเงินได้จากความเป็นแม่และความสาว” ดร.ชเนตตีระบุ
นอกจากนี้ เทคโนโลยีอย่างโซเชียลมีเดียก็เป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่ส่งเสริมให้ทุนนิยมปิตาธิปไตยทำงานได้อย่างดี ด้วยคุณสมบัติในการอัปเดตไลฟ์สไตล์ของคนดังได้แบบเรียลไทม์ ทำให้เหล่าผู้ติดตามสามารถเกาะติดชีวิตดาราได้อย่างรวดเร็วและง่ายดาย ซึ่งทำให้สินค้าและผลิตภัณฑ์ต่างๆ สามารถเข้าถึงกลุ่มผู้บริโภคได้ทันทีผ่านโพสต์ต่างๆ ของดารานักแสดงและคนมีชื่อเสียงเหล่านี้
แต่ในทางกลับกัน ขณะที่ทุนนิยมได้ประโยชน์จากความเป็นแม่ของดารา ระบบชายเป็นใหญ่ที่ฝังรากลึกอยู่ในสังคมไทย ก็ทำให้สังคมยังคงติดอยู่กับความงามเพียงแบบเดียว นั่นคือความงามของผู้หญิงก่อนที่จะตั้งครรภ์ ไม่ว่าจะเป็นรูปร่างผอมเพรียว ผิวเรียบเนียน หน้าท้องแบนราบ ซึ่งสุดท้าย ผู้หญิงที่เป็นแม่ก็ไม่ได้สวยตามธรรมชาติของแม่ที่ควรจะเป็นอยู่ดี ซึ่ง ดร.ชเนตตีอธิบายว่า
“ทุนนิยมก็รู้ไงว่าผู้หญิงที่เป็นแม่มีความกดดันต่อสภาพร่างกายของตัวเองที่เปลี่ยนแปลงทุกเดือน หลังคลอดอีก เมื่อผู้หญิงมีความกดดันแบบนี้ ฉันต้องสวยเพื่อคนอื่น ทุนนิยมรู้ทัน จึงพยายามที่จะเอาผลิตภัณฑ์ต่างๆ เข้ามา เพื่อให้ผู้หญิงเหล่านี้มีความมั่นใจในตัวเองมากขึ้นจากการใช้ผลิตภัณฑ์นี้ แล้วทุนนิยมจะใช้ช่องทางใดที่จะทำให้ผลิตภัณฑ์พวกนี้มีความเป็นไปได้ มีการใช้จริงอย่างสมจริง มันก็จะต้องไปทำงานผ่านดารานักแสดงที่กำลังตั้งครรภ์”
สื่อภายใต้ทุนนิยมปิตาธิปไตย
เมื่อถามถึงคุณค่าข่าวของประเด็นคุณแม่ดาราหุ่นปังที่เกิดขึ้นบ่อยครั้งบนหน้าสื่อ ดร.ชเนตตีระบุว่า ประเด็นดังกล่าวเกี่ยวข้องกับเรื่องเพศ เป็นข่าวที่ “ขายได้” และนำมาซึ่งสปอนเซอร์และรายได้
“สื่อวิ่งตามหลังกระแสสังคมตลอดเวลา ต่อให้กระแสสังคมให้คุณค่ากับความเป็นแม่ ร่างกายของคนเป็นแม่มากขึ้น แต่สื่อกลับไม่ได้นำสังคมไปไกลกว่านั้น สื่อยังติดกับดักเดิมที่มองความงามของหญิงสาวให้เป็นแบบเดียว ในแบบผู้หญิงที่ยังไม่ตั้งครรภ์ การที่สื่อตั้งประเด็นนี้ สื่อไม่ได้คิดอะไรซับซ้อนไปกว่ามันคือเรื่องเพศที่ขายได้ ร่างกายของผู้หญิงมันเป็นสิ่งที่ขายได้ในหน้าสื่อ และสื่อก็ไม่ได้คิดจะทำอะไรให้ร่างกายของผู้หญิงนั้นถูกเชื่อมโยงกับประเด็นเรื่องสิทธิทางเพศของพวกเธอ” ดร.ชเนตตีกล่าว
ด้านตัวแทนคุณแม่ซึ่งเป็นคนทั่วไปอย่างเมย์ วังพัฒนมงคล ได้แสดงความเห็นต่อการนำเสนอข่าวดาราหญิงที่รูปร่างดีหลังคลอดลูกว่า สื่อยังขาดความเข้าใจธรรมชาติของการตั้งครรภ์และการคลอดลูก อีกทั้งยังศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องนี้น้อยเกินไป ซึ่งอาจส่งผลต่อความเข้าใจของผู้ที่เสพข่าว
“เราเชื่อนะว่า คนที่ไม่ได้เป็นดารา แต่คลอดธรรมชาติ เขาก็หุ่นแบบนั้นแหละ ถ้าหุ่นเขาเป็นแบบนั้นอยู่แล้ว ยังไงเขาก็กลับมาเป็นแบบนั้น แต่สื่อไทยหาข้อมูลเกี่ยวกับคนท้องน้อยไป ไม่ว่าจะเป็นเรื่องซึมเศร้าหลังคลอด เรื่องของภาวะต่างๆ หลังคลอด เรื่องทางร่างกาย แล้วก็ประโคมข่าว คนที่เข้ามาคอมเมนต์ชื่นชมก็มักจะเป็นคนที่ไม่มีลูก เพราะฉะนั้นเขาจะไม่เข้าใจว่าสิ่งนี้มันคือธรรมชาติของแม่ที่คลอดลูก คลอดเสร็จ น้ำหนักมันก็หายไป บางคนท้องตอนอายุ 20 ปลายๆ แทบจะไม่เห็นท้อง แม่บางคนน้ำหนักขึ้นแค่ 5 – 6 กก. เอง” เมย์กล่าว
นอกจากนี้ ความเป็นแม่ยังไม่ใช่แค่การตั้งครรภ์ 9 เดือน และคลอดลูก กลับมาผอมสวยเหมือนเดิม ทว่ายังมีเรื่องราวเบื้องหลังต่อจากนั้นอีกมากมาย แต่สื่อกลับนำเสนอเรื่องเหล่านี้น้อยมาก ซึ่งพนิตชนก ดำเนินธรรม นักเขียนและผู้จัดรายการพอดแคสต์ The Rookie Mom ระบุว่า
“เราจะไม่เห็นเบื้องหลังของดาราเหล่านั้น ว่าก็เขามีเวลาไปออกกำลังกายได้ เพราะว่าเขามีคนช่วยไง ลูกแฝดก็มีพี่เลี้ยงสองคนไง คือเขามีเรื่องราวเบื้องหลังที่บางทีสื่ออาจจะไม่ได้นำเสนอ สื่อบอกแค่ผลลัพธ์ว่าเขาหุ่นดี แล้วเราก็ไปรับแค่เมสเสจนั้นว่าหลังคลอดต้องหุ่นดี ซึ่งจริงๆ เราคิดว่ามันไม่ใช่เรื่องสำคัญของสิ่งที่แม่ต้องทำหลังคลอด”
เรื่องที่มากกว่าแม่ดาราหุ่นปัง
แม้ว่าข่าวคราวของดารานักแสดงที่ตั้งครรภ์และคลอดลูกจะถือเป็นข่าวดี แต่การนำเสนอข่าวที่มากเกินไป ก็อาจส่งผลกระทบทั้งต่อตัวดาราและคนทั่วไปได้ โดยเฉพาะผู้หญิงที่ตั้งครรภ์และแม่หลังคลอด ซึ่ง ดร.ชเนตตีกล่าวว่า ดาราผู้หญิงจะไม่สามารถหยุดสวยได้ เพราะเมื่อไรที่เธอสวยน้อยลง รายได้จากการโฆษณาสินค้าก็จะน้อยลงตามไปด้วย และยังส่งผลให้ชีวิตครอบครัวของเธอไม่เป็นส่วนตัวอีกต่อไป
“ยอดผู้ติดตามในอินสตาแกรมส่วนตัวของเขาเป็นปัจจัยที่ทำให้สินค้า สปอนเซอร์ เข้ามาสนับสนุนความงามบนร่างกายของพวกเธอ เพราะฉะนั้น เป็นแม่ก็จะหยุดสวยไม่ได้ แม่ต้องแซ่บเว่อร์อยู่ตลอดเวลา มันก็เลยทำให้การตั้งครรภ์ก็ไม่ได้เป็นเรื่องส่วนตัวอีกต่อไป การตั้งครรภ์ทำให้ชีวิตส่วนตัวของดาราถูกถ่ายทอดออกทางโซเชียลมีเดีย ลูกเริ่มปฏิสนธิก็ต้องแถลงข่าว ก็ต้องมานั่งลุ้นว่าเพศอะไร จะตั้งชื่อว่าอะไร ก็ต้องให้บรรดา followers มาช่วยกันโหวต แล้วก็ต้องติดตามการเติบโตของทารก ซึ่งเราคิดว่า เหล่านักแสดงหญิงก็กดดันไม่น้อยนะ แล้วก็ต้องอยู่ในมาตรฐานความงามแบบที่สังคมทุนนิยมชายเป็นใหญ่ต้องการอยู่ตลอดเวลา”
และไม่ใช่แค่เหล่าคนดังเท่านั้นที่จะได้รับผลกระทบ กลุ่มคนอีกฝั่งที่รับชมการถ่ายทอดสดชีวิตดารา โดยเฉพาะหญิงสาวจำนวนมากที่กำลังจะตั้งครรภ์ ก็จะถูกกล่อมให้เชื่อตามภาพที่เห็นในโลกออนไลน์ และคาดหวังว่าตัวเองจะต้องไปถึงมาตรฐานคุณแม่สุดแซ่บเช่นเดียวกัน ทว่าไม่ใช่ผู้หญิงทุกคนที่จะสามารถทำได้ตามมาตรฐานนั้น
“มันเป็นเรื่องของการตัดสินจากสายตาของคนอื่นทั้งสิ้นเลยในสภาพแบบนี้ ผู้หญิงทั่วไปก็ถูกกดดันจากสังคมว่าท้องแล้วก็สวยได้ ท้องแล้วก็ต้องสวย และมันก็จะส่งผลกระทบต่อผู้หญิงจำนวนมากที่รู้ไม่ทัน พอรู้ไม่ทันก็จะตกเป็นเหยื่อ แล้วถ้าไม่สามารถทำตามมาตรฐานที่ถูกลวงหลอกในพื้นที่สื่อได้ เขาก็จะถูกตีตราว่าไม่ดูแลตัวเอง และก็จะส่งผลกระทบต่อจิตใจ สูญเสียความเป็นตัวเอง ขาดความมั่นใจในตัวเอง สูญเสียความเคารพในความเป็นมนุษย์ของตัวเอง บางคนอาจจะดิ่ง ดาวน์ มีปัญหาเรื้อรังทางสภาพจิตใจในระยะยาว” ดร.ชเนตตีกล่าว
ขณะที่เมย์ระบุว่า การนำเสนอข่าวเกี่ยวกับรูปร่างหน้าตาของแม่ดาราเพียงอย่างเดียวอาจส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อแม่ที่มีภาวะซึมเศร้าหลังคลอด ซึ่งเธอเองก็เคยประสบมาเช่นกัน
“ด้วยฮอร์โมนหลังคลอดของแม่ มันทำให้อยู่ดีๆ ก็เกลียดตัวเอง คือซึมเศร้าหลังคลอดโดยแท้ ถามว่ามันอ้วนไหม ก็ไม่ได้อ้วนเลยนะ เพราะว่าเราคลอดธรรมชาติ น้ำหนักก็ลงเร็ว ให้นมลูกด้วย นอนน้อยด้วย แต่ว่ามันเกลียดตัวเอง มองกระจกแล้วร้องไห้ ทำไมเราน่าเกลียดจังวะ คือไม่ต้องเทียบ มองตัวเองปุ๊บ ร้องไห้เลย เราเชื่อว่ามันมีคนเป็นแบบนี้เยอะมาก แล้วมันก็ยังมีข่าวแบบนี้ไปซ้ำเติมเขาอีก ต่อให้ตอนแรกเขาไม่คิด แต่เขาเจอทุกอย่าง ฟีดเข้าไปทุกวันๆ ไถอินสตาแกรมก็เจอ ไถเฟซบุ๊กก็เจอ มันก็ตอกย้ำเขาไปเรื่อยๆ” เมย์กล่าว
นอกจากนี้ ดร.ชเนตตียังกล่าวอีกว่า การนำเสนอข่าวรูปร่างอันสวยงามของแม่ดาราเพียงด้านเดียว จะทำให้พื้นที่สื่อขาดความหลากหลาย ซึ่งหมายความว่า ความสมดุลในพื้นที่สื่อก็จะลดลงไปด้วย เพราะสื่อนำเสนอเรื่องราวเพียงด้านเดียวเสมอ นั่นคือด้านที่รับใช้ทุน
ด้านเมย์ก็มองว่า การที่สื่อนำเสนอแต่เรื่องรูปร่างหน้าตาของดาราที่เป็นแม่เพียงด้านเดียว โดยไม่ได้ศึกษาหาข้อมูลเกี่ยวกับความเป็นแม่ในด้านอื่นๆ ก็อาจจะสร้างความเข้าใจผิดให้กับคนในสังคมได้เช่นกัน
“มันน้อยมากที่เราจะเคยได้ยินข่าวเกี่ยวกับซึมเศร้าหลังคลอด หรือคนออกมารณรงค์ให้เห็นใจผู้หญิงเพิ่งคลอด ผู้ใหญ่แทบจะไม่มีความรู้เรื่องนี้เลยนะ เขาจะถามว่าเป็นบ้าเหรอ ทำไมต้องหงุดหงิด ทำไมแค่นี้ต้องร้องไห้ เขาไม่เข้าใจเรื่องฮอร์โมน การอดหลับอดนอน เพราะว่ามันไม่เคยมีใครสื่อถึงเรื่องพวกนี้มาก่อนเลย ทุกคนเข้าใจว่าการเป็นแม่เลี้ยงลูกมันสบายจะตาย แล้วพอคนคิดแบบนั้น ก็เอาภาระไปให้แม่ เอาความคาดหวังไปทิ้งไว้ให้แม่ สุดท้ายมันก็มีแม่ที่รับไม่ไหว เขาก็ฆ่าตัวตาย แต่เผอิญเขาไม่ได้เป็นดารา เขาเลยไม่ได้รับการออกข่าว” เมย์กล่าว
เรื่องราวของแม่ที่มากกว่าความสวย
สำหรับแนวทางในการนำเสนอเรื่องราวความเป็นแม่ที่หลากหลายกว่าที่ผ่านมา ดร.ชเนตตีระบุว่า หากสื่อต้องการจะเชิดชูความเป็นแม่ที่หลากหลายจริง สื่อต้องเอาตัวเองออกจากแวดวงดาราและคนมีชื่อเสียง ซึ่งถือเป็นชนชั้นอภิสิทธิ์ในสังคมไทย และหันมานำเสนอมุมมองความเป็นแม่ของผู้หญิงในกลุ่มอื่นๆ เช่น แม่ที่เป็นเลสเบียนหรือผู้หญิงข้ามเพศ แม่ที่พิการ หรือแม่ที่เป็นคนชายขอบต่างๆ ซึ่งเป็นหัวข้อที่สื่อไม่เคยเปิดพื้นที่มาก่อน เนื่องจากเป็นเนื้อหาที่ทุนมองว่าขายยาก และไม่ให้การสนับสนุน แม้ว่าจะมีคนบางส่วนสนใจเรื่องนี้ก็ตาม
นอกเหนือจากเรื่องราวของแม่ในกลุ่มอื่นๆ พนิตชนกระบุว่า แม้สื่อจะมองว่าภาพแม่ดาราหุ่นฟิตแอนด์เฟิร์มหลังคลอดเป็นส่วนหนึ่งของการสร้างแรงบันดาลใจให้แม่คนอื่นๆ ลุกขึ้นมาเรียกความเป็นตัวเองกลับมา แต่เธอมองว่า การเป็นแม่มีแง่มุมมากมาย และการคืนความเป็นตัวเองนั้นไม่ได้หมายถึงแค่เรื่องรูปร่าง แต่ขึ้นอยู่กับว่าคนคนนั้นให้คุณค่ากับอะไร
“บางคนอาจจะคิดว่าสิ่งที่แสดงความเป็นตัวฉันมากที่สุดคือรูปร่าง ความฟิต ความเฟิร์ม ร่างกายแข็งแรง ถ้าร่างกายแข็งแรงเราก็จะมีพลังไปเลี้ยงลูกได้ แต่อย่างเรา เราไม่ใช่คนที่ให้คุณค่ากับเรื่องนั้น เราเป็นคนชอบดูหนัง แล้วเราคิดถึงชีวิตที่เข้าโรงหนังได้ ดังนั้น สิ่งที่เราจะเรียกคืนกลับมาหลังจากการมีลูก หลังจากที่ชีวิตมันลงตัว ก็คือการไปนั่งดูหนังในโรง เราคิดว่ามันอยู่ที่ว่าคนคนนั้นให้คุณค่ากับอะไร ซึ่งไม่ใช่ทุกคนที่ให้คุณค่ากับรูปร่าง และสื่อควรจะนำเสนอให้มันกว้างขึ้นอีกนิดหนึ่ง ไม่อย่างนั้นเราก็จะขาดคนอ่านบางคนไป ที่เขาไม่ได้สนใจว่าฉันต้องสวย” พนิตชนกกล่าว
นอกจากนี้ เมย์มองว่า ประเด็นที่สื่อควรนำเสนออย่างมาก คือเรื่องภาวะซึมเศร้าหลังคลอด เพื่อให้สังคมเข้าใจว่าเป็นภาวะที่เกิดขึ้นได้กับทุกคน และสามารถหายขาดได้ เพื่อให้สังคมเลิกตีตราแม่ที่เป็นซึมเศร้าหลังคลอด รวมทั้งนำเสนอเรื่องราวของดาราในแง่มุมที่เป็น “มนุษย์” ไม่ใช่ไอดอลที่สมบูรณ์แบบ ซึ่งพนิตชนกก็เห็นตรงกัน และเสนอว่า
“อยากให้สื่อนำเสนอความทุกข์บ้าง หรือถ้าจะไปสัมภาษณ์ดารา อย่างน้อยก็ควรสัมภาษณ์ให้มันไปไกลกว่าแค่รูปร่างหน้าตาหรือการรีวิวสิ่งของ แต่ว่าเราไม่ได้เห็นชีวิตของเขา คือมันจะมีครอบครัวดาราที่เขาไม่ใช่ซุปเปอร์สตาร์ แต่มันเห็นรายละเอียดการเลี้ยงลูกที่มีทั้งทุกข์และสุขนะ แล้วก็ไม่ได้สมบูรณ์แบบมาก เราอยากให้สื่อดึงดาราลงมาเป็นมนุษย์คนหนึ่ง แล้วมันจะเป็นผลดีกับดาราเองด้วย ที่มันจะทำให้คนจับจ้องเขาง่ายขึ้น ว่าเขาก็เป็นคุณแม่ที่มีมุมพังๆ เหมือนกัน ไม่ได้ครบถ้วนหรูหราไปซะทั้งหมด”