"เมิร์ฟ เดอะ เซิร์ฟ : แชมป์โต้คลื่น สู่การโจรกรรมเพชรครั้งใหญ่สุดในประวัติศาสตร์อเมริกา

Home » "เมิร์ฟ เดอะ เซิร์ฟ : แชมป์โต้คลื่น สู่การโจรกรรมเพชรครั้งใหญ่สุดในประวัติศาสตร์อเมริกา
"เมิร์ฟ เดอะ เซิร์ฟ : แชมป์โต้คลื่น สู่การโจรกรรมเพชรครั้งใหญ่สุดในประวัติศาสตร์อเมริกา

แชมป์กีฬาโต้คลื่น, นักดนตรี, อัจฉริยะ, อาชญากรโจรกรรมเพชร, ผู้ต้องหาคดีฆาตกรรม, นักบุญ

แจ็ค โรแลนด์ เมอร์ฟี่ คือมนุษย์ที่ปนเปไปด้วยชื่อเสียงเรียงนามอันหลากหลายในร่างเดียว นักกีฬาโต้คลื่นที่ฉาวที่สุดในประวัติศาสตร์อเมริกัน อดีตชายหนุ่มรูปงาม ผู้มีความฉลาดระดับหัวกะทิ เพียบพร้อมไปด้วยความสามารถทางด้านกีฬาและดนตรี ด้วยชื่อเสียงจากการเป็นแชมป์โต้คลื่นที่หาดเดย์โทนา ปี 1962 และยังมีวีรกรรมก่ออาชญากรรมร้ายแรงที่เป็นหนึ่งในคดีโจรกรรมเพชรที่ใหญ่ที่สุดในสหรัฐอเมริกาเมื่อปี 1964 และคดีการฆาตกรรมผู้หญิง 2 คนที่รัฐฟลอริด้า ปี 1967

นี่คืออีกหนึ่งเรื่องราวสุดโต่งของวงการโต้คลื่น ชีวิตของคนดีแตกคนหนึ่งที่มีขึ้นมีลงอยู่ตลอดเวลา บ้างก็บ้าคลั่งราวกับคลื่นพิโรธในวันพายุโหม บ้างก็นิ่งสงบไม่ไหวติง เรื่องของเขาเปี่ยมไปด้วยความรู้สึกอันหลากหลาย

 

ภาพชีวิตสีเทาของเขา ราวกับภาพยนตร์ดราม่า-อาชญากรรมเข้มข้นเรื่องหนึ่ง ซึ่งก็ไม่ต้องแปลกใจ หากเราจะบอกว่า เรื่องราวของ “เมิร์ฟ เดอะ เซิร์ฟ” สุดเหวี่ยงขนาดที่เคยถูกนำไปดัดแปลงเป็นภาพยนตร์มาแล้วจริง ๆ 

Main Stand จะพาไปโต้คลื่นลูกนี้ด้วยกัน

“ผมเบื่อหิมะแล้ว” 

แจ็ค โรแลนด์ เมอร์ฟี่ เกิดเมื่อวันที่ 26 พฤษาคม 1937 ที่โอเชียนไซด์ เมืองทางตอนใต้ในรัฐแคลิฟอร์เนีย ประเทศสหรัฐอเมริกา เขาเป็นลูกคนเดียว ฉายแววความสามารถทั้งในด้านของดนตรีและกีฬามาตั้งแต่ยังเด็ก เขาเล่นเซิร์ฟเป็นตั้งแต่อยู่ชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 และเป็นนักเรียนระดับ A1 หรือระดับที่เรียกได้ว่าหัวกะทิ มีความสามารถรอบด้านแบบที่พ่อแม่หลายคนฝันอยากให้ลูกเป็น  เมิร์ฟ เป็นเด็กที่ใกล้เคียงกับคำว่า “สมบูรณ์แบบ” ที่สุดคนหนึ่ง


Photo : .palmbeachpost.com

 

ก่อนที่จะมาเอาดีทางด้านการเล่นเซิร์ฟ กีฬาอีกชนิดที่เขาเล่นคือเทนนิส นอกจากกีฬา ช่วงเวลาวัยเด็กของ เมิร์ฟ ส่วนใหญ่หมดไปกับไวโอลิน ที่เจ้าตัวหมั่นฝึกฝนพัฒนาฝีมือมาเรื่อย ๆ ต่อมาเมื่อเข้าสู่วัยมัธยม ครอบครัวของเขาย้ายจากแคลิฟอร์เนีย ไปอยู่ที่เมืองพิตต์สเบิร์ก รัฐฟิลาเดลเฟีย 

ความสามารถทางด้านกีฬาของเมิร์ฟ ส่งผลให้เขาได้รับทุนการศึกษาในระดับมหาวิทยาลัยจากการเล่นเทนนิส และได้เข้าเรียนในมหาวิทยาลัยพิตต์สเบิร์กในเวลาต่อมา และในขณะเดียวกัน เขาก็ได้เข้าไปร่วมเล่นไวโอลินให้กับวงซิมโฟนีออร์เคสตราท้องถิ่นประจำเมืองพิตต์สเบิร์กอีกด้วย 

จอห์น เพนรอด หนึ่งในเพื่อนสนิทในวัยเด็กของเขา กล่าวถึงเขาไว้ว่า เขาเป็นคนที่มีความสามารถมาก ๆ ทุก ๆ อย่างที่เขาทำจะต้องประสบความสำเร็จเสมอ 

ด้วยความสามารถและความสำเร็จในวัยขนาดนี้ เมิร์ฟ เองก็รู้สึกกดดัน จนถึงวันหนึ่งเขาก็ทนไม่ไหวอีกต่อไป เขาเริ่มเบื่อชีวิตที่พิตต์สเบิร์กและสิ่งที่ตัวเองทำอยู่ แทนที่เขาจะเลือกเอาดีทางด้านเทนนิสและไวโอลินต่อ เขากลับคิดถึงบรรยากาศที่เต็มไปด้วยแสงแดดและทะเลเหมือนกับที่บ้านของเขาในแคลิฟอร์เนีย … ปี 1955 เขาจึงตัดสินใจลาออกจากมหาวิทยาลัย แล้วโบกรถมาเรื่อย ๆ ตั้งแต่พิตต์สเบิร์กมาจนถึงเมืองไมอามี รัฐฟลอริดา พร้อมให้เหตุผลเพียงสั้น ๆ ว่า “ผมเบื่อหิมะแล้ว” 


Photo : tampabay.com

 

เรื่องราวของ เมิร์ฟ ในวัยเด็กอาจจะฟังดูเกินจริงไปบ้าง แต่นี่เองที่อาจเป็นจุดเริ่มต้นของความเฉลียวฉลาดปนเจ้าเล่ห์ของเขา ในภายหลังเขาได้เปิดเผยเรื่องราวในวัยเด็กของตนเองมากยิ่งขึ้น ปรากฏว่าเรื่องราวในอดีตเหล่านั้นช่างเลือนราง บ้างก็บอกว่าพ่อของเขาเป็นพนักงานในบริษัทโทรศัพท์ บ้างก็บอกว่าเป็นผู้รับเหมาการเดินระบบไฟฟ้า เขาจบประถม 6 เข้าศึกษาต่อในโรงเรียนมัธยมและย้ายโรงเรียนมา 3 แห่ง จากบทสัมภาษณ์ของ The New York Times เขาไม่สามารถบอกชื่อโรงเรียนที่เขาเคยเข้าเรียนได้เลยสักแห่ง 

อย่างไรก็ดี ที่ฟลอริดาแห่งนี้ เป็นจุดเริ่มต้นเรื่องราวของแชมป์กีฬาโต้คลื่นชื่อกระฉ่อน เมิร์ฟ จากครอบครัวมา ทิ้งชีวิตที่พิตต์สเบิร์กมาสู่ไมอามีด้วยวัยเพียง 18 ปี เขาเปี่ยมไปด้วยพลังของคนหนุ่ม ที่พร้อมจะออกไปท้าทายชีวิต ที่นี่เองที่ เมิร์ฟ ได้กลับมาเล่นเซิร์ฟบอร์ดอีกครั้ง เขาหาเลี้ยงตัวเองจากการสอนเป็นไลฟ์การ์ด ครูสอนเทนนิส สอนว่ายน้ำ ฝีมือการเล่นเซิร์ฟบอร์ดของเขาเป็นที่พูดถึงในวงกว้างสำหรับคนท้องที่ จนภายหลัง ผู้คนรู้จักเขาในฐานะ “เมิร์ฟ เดอะ เซิร์ฟ” 


Photo : pilotonline.com

ชื่อเล่น เมิร์ฟ เดอะ เซิร์ฟ เป็นชื่อที่เขาได้รับมาจากฝีมืออันฉกาจฉกรรจ์ในการโต้คลื่น เขาได้ตำแหน่งแชมป์จากการแข่งขันโต้คลื่นหาดเดย์โทนาแชมเปี้ยนชิพ (Daytona Beach Surfing Championship) ในปี 1962 และแชมป์การแข่งโต้คลื่นฝั่งตะวันออก (East Coast Surfing Championship : ECSC) ปี 1963 จนได้ไปปรากฏตัวในภาพยนตร์สารคดี Surfing Hollow Days ที่กำกับโดย บรูซ บราวน์ ผู้กำกับภาพยนตร์โต้คลื่น (Surf Film) ที่กำลังมีชื่อเสียง ณ ขณะนั้นอีกด้วย 

เมิร์ฟ เคยแต่งงานและมีลูก 2 คน แต่ชีวิตสมรสของเขาก็ล้มเหลวไม่เป็นท่า เนื่องจากไลฟ์สไตล์ที่สุดเหวี่ยงไม่รู้จักโตของเขา เขายังคงโหยหาความสนุกในชีวิต และไม่พร้อมจะลงหลักปักฐานแต่อย่างใด เมิร์ฟ ถือครองตำแหน่ง “ราชาแห่งชายหาด” ในรัฐฟลอริดา ด้วยภาพลักษณ์ของไลฟ์การ์ดผมทองรูปงาม ดีกรีแชมป์การแข่งขันโต้คลื่น เขาไม่เกรงกลัวต่อสิ่งใดทั้งสิ้น เขาเสพยา หว่านเสน่ห์ใส่นักท่องเที่ยวผู้หญิง ฟังเพลงแจ๊ส สื่อบางเจ้าถึงกับประเคนชื่อเสียงของเขาว่าเป็นฮีโร่ประจำท้องถิ่นเลยด้วยซ้ำ

 


Photo : facebook.com/floridasurfmuseum

วีรกรรมของเขาเป็นที่โจษจันขึ้นเรื่อย ๆ ถึงขนาดมีเรื่องเล่าแบบปากต่อปากกันว่า เขาได้เข้าไปเจอวงดนตรีอย่าง The Beatles ตอนที่ เอ็ด ซัลลิแวน พิธีกรรายการโทรทัศน์ชื่อดัง พา 4 เต่าทองมาถ่ายรายการที่ฟลอริดา ที่สระว่ายน้ำโรงแรมโดวิล เป็นครั้งแรกที่วงสี่เต่าทองข้ามน้ำข้ามทะเลจากอังกฤษมาที่สหรัฐอเมริกาในปี 1964 หรืออย่างการแฝงตัวเข้าไปเป็นผู้ติดตามของนักมวยอาชีพชื่อดังคนหนึ่งที่มาเก็บตัวซ้อมอยู่ที่ ฟิฟต์ สตรีท ยิม (5th Street Gym) โรงยิมที่มีชื่อเสียงเก่าแก่ในฟลอริดา เมิร์ฟ ตบตาทุกคนและได้เข้าไปพบกับนักมวยคนนั้น ผู้มีชื่อว่า แคสเซียส เคลย์ ก่อนที่โลกจะรู้จักเขาในชื่อ มูฮัมหมัด อาลี ในเวลาต่อมา 

เมิร์ฟ เลือกใช้ชีวิตแบบนี้เพียงเพราะเขาทำได้และทำไปเพื่อความสนุกเท่านั้น ไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตของเขาเริ่มไร้ขีดจำกัดมากขึ้น ด้วยชื่อเสียง เกียรติยศที่ถาโถมเข้ามา จนในที่สุด เมิร์ฟ ก็เริ่มที่จะออกนอกลู่นอกทาง เขาเริ่มคบค้าสมาคมกับเพื่อนที่ไม่ดีและเริ่มลักเล็กขโมยน้อย และนั่นกลายเป็นจุดเริ่มต้นของอาชญกรชื่อกระฉ่อนในเวลาต่อมา

อาชญากรหน้าหยก 

ความจริงแล้ว แรงจูงใจในการปล้นของ เมิร์ฟ ไม่ได้มีปัจจัยเรื่องความเดือดร้อนทางการเงินเข้ามาเกี่ยวข้อง เขาทำเพราะความสนุกล้วน ๆ เมิร์ฟ เริ่มต้นจากการลักลอบขโมยเครื่องเพชรในละแวกบ้านคนรวยในแถบฟลอริดา ด้วยการล่องเรือไปกับกลุ่มเพื่อนในย่านคนรวย งัดแงะทรัพย์สินส่วนบุคคลแล้วหนีออกมาได้อย่างสบาย

 


Photo : pilotonline.com

“ผมมักจะใช้เรือเป็นประจำ ผมรู้จักแม่น้ำทุกสายอย่างกับรู้จักหลังมือตัวเอง เราจะใช้เส้นทางน้ำนี้ไปบ้านหลังที่มีราคาแพง เมื่อไปถึง ใครสักคนจะปีนขึ้นไปบนกำแพงและขโมยเครื่องเพชรออกมา จากนั้นเราจะหนีออกไปที่อ่าว” 

“หรือบางทีผมจะได้รับถุงที่เต็มไปด้วยเพชรมา งานของผมคือการว่ายน้ำไปเรื่อย ๆ ออกจากแม่น้ำไปสู่ชายฝั่ง เพื่อไปขึ้นรถหลบหนีต่อ ถ้าทำแบบนี้ หากมีคนโดนจับได้ที่เหลือก็จะไม่เป็นอะไร งานแรกของผม ผมได้ไปประมาณ 15,000 เหรียญ” 

เขาทำแบบนี้ไปเรื่อย ๆ จนวันหนึ่ง เขาก็เริ่มที่จะท้าทายตัวเองขึ้นไปอีกขั้น ด้วยการเริ่มคิดจะขโมยเพชรจำนวนมาก ซึ่งรวมถึงเพชรที่มีค่าที่สุด 3 เม็ด ในคอลเลกชันของ เจ.พี. มอร์แกน วาณิชธนกิจชื่อดังระดับโลก 

สมบัติอันล้ำค่าของ เจ.พี. มอร์แกน ที่ เมิร์ฟ และเพื่อนเลือกที่จะขโมย ได้แก่ “Star of India” ไพลิน 563.35 กะรัต ที่เป็นหนึ่งในอัญมณีที่ใหญ่ที่สุดในโลก ความพิเศษของเพชรเม็ดนี้ คือลายดาวที่สลักอยู่บริเวณด้านหน้าและด้านหลัง ถูกค้นพบในประเทศศรีลังกา, “Eagle Diamond” หนึ่งในเพชรที่หายากที่สุดในโลก ถูกตั้งชื่อตามเมืองที่ค้นพบที่รัฐวิสคอนซิน ในปี 1876 และ “DeLong Star Ruby” ทับทิม 100.32 กะรัต เป็นทับทิมรูปไข่ที่มีลายเหมือนกับไพลินสตาร์แห่งอินเดีย ซึ่งอัญมณีทั้งสามชนิดนี้ ถูกจัดแสดงอยู่ที่พิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์แห่งชาติ ในนครนิวยอร์ก

 

แผนการโจรกรรมเพชรของ เมิร์ฟ เริ่มต้นขึ้นเพราะความเบื่อ เฉกเช่นเดียวกันกับตอนที่เขาลาออกจากมหาวิทยาลัย แต่ เมิร์ฟ ณ ตอนนี้ ต่างจากตอนนั้นอย่างสิ้นเชิง ไลฟ์สไตล์แบบบ้าคลั่งของเขาไม่สามารถที่จะรั้งเขาไว้ให้หากินแบบสุจริตที่ฟลอริดาได้อีกต่อไป 

สิ่งที่ทำให้ เมิร์ฟ มั่นใจขึ้นไปอีกขั้นว่าเขาจะทำการปล้นสำเร็จ คือการได้พบกับชายที่ชื่อว่า อัลลัน คุนห์ ผ่านเพื่อนของเพื่อนอีกที 


Photo : nydailynews

อัลลัน เปรียบเสมือนเป็น เมิร์ฟ อีกคน ชายหนุ่มที่เกือบจะเข้าใกล้คำว่าสมบูรณ์แบบพอ ๆ กับ เมิร์ฟ เขาคือชายหนุ่มหน้าตาดี ร่างกายกำยำ บุคลิกภาพดี ในวัยมัธยมความสามารถของ อัลลัน นั้นหลากหลายและรอบด้านเหมือนกับ เมิร์ฟ ไม่ว่าจะเป็น การเล่นอเมริกันฟุตบอล ทักษะทางศิลปะ การเล่นละครเวที เขาทอดทิ้งชีวิตเหล่านั้นไว้เบื้องหลังเช่นเดียวกับ เมิร์ฟ และมุ่งตรงมาตายเอาดาบหน้าที่รัฐฟลอริดา ในฐานะครูสอนว่ายน้ำเหมือนกันกับเมิร์ฟ 

ใครจะไปรู้ว่าหลังจากที่สองคนนี้ได้รู้จักกัน พวกเขาจะพากันเข้าไปปล้นเพชรมูลค่าสูงลิบที่นิวยอร์ก 

ในวันที่ 29 ตุลาคม 1964 เมิร์ฟ, อัลลัน และ โรเจอร์ คลาร์ก ช่างทาสีจากรัฐคอนเนตทิคัต ที่ย้ายมาอยู่ไมอามี อีกหนึ่งผู้สมรู้ร่วมคิด ที่ได้รู้จัก เมิร์ฟ และ อัลลัน ผ่านธุรกิจอาชญากรรมที่หมุนเวียนกันอยู่ไม่กี่หน้าในฟลอริดา ได้ร่วมมือกันมุ่งขับรถตรงไปที่แมนฮัตตันเพื่อทำการโจรกรรม เป็นการโจรกรรมที่กำลังจะกลายเป็นอีกหนึ่งเหตุการณ์ที่สำคัญของสหรัฐอเมริกา

ทั้งสามคนเริ่มวางแผนจากการสอดแนมพิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์แห่งชาติ สังเกตการเคลื่อนไหวของหน่วยรักษาความปลอดภัย ที่กบดานของพวกเขาคือ โรงแรมเคมบริดจ์บนถนนเส้นที่ 86 ทางฝั่งตะวันตกของเกาะแมนฮัตตัน บริเวณใกล้กับแม่น้ำฮัดสัน 


Photo : si.com

ในคืนที่ลงมือ พวกเข้าขับรถอ้อมไปทางด้านหลังของพิพิธภัณฑ์และเลือกที่จะใช้วิธีปีนขึ้นไปบนกำแพงหิน โรเจอร์ ทำหน้าที่ดูลาดเลาอยู่ข้างล่าง ส่วนคนที่ขึ้นไปสู่ชั้นที่ 4 ของพิพิธภัณฑ์อย่าง เมิร์ฟ และ อัลลัน ค่อย ๆ ไต่เลาะไปตามกำแพง ไม่รู้ว่าเป็นเพราะความโชคดีหรือความบังเอิญ พวกเขาได้ลอบเข้าไปทางหน้าต่างที่เปิดทิ้งเอาไว้และทุบกระจกเอาเพชรอันโด่งดังทั้ง 3 เม็ดออกมา อีกทั้งยังได้กวาดเพชรเม็ดอื่น ๆ ไปด้วย รวม 24 เม็ด 

“มันเหมือนกับการปีนเขาหรือเล่นสกีอะไรทำนองนั้น ในฐานะโจรปล้นเพชร เราเลือกที่จะท้าทายตัวเอง มันอันตราย มันมีเสน่ห์ อะดรีนาลีนของพวกเราสูบฉีดอย่างบ้าคลั่ง เราไม่สามารถปล้นในแบบที่เคยปล้นในปาล์มบีชได้อีกต่อไป” เมิร์ฟ ในวัย 77 ปีระลึกถึงช่วงเวลานั้น จากบทสัมภาษณ์ของ Vanity Fair ในปี 2014 

แปลกแต่จริงที่การบุกเข้าไปปล้นเพชรมูลค่ารวมทั้งหมดราว 500,000 ดอลลาร์สหรัฐ ในครั้งนั้นผ่านไปอย่างราบรื่น ด้วยระบบรักษาความปลอดภัยที่หละหลวมเกินกว่าจะป้องกันชายหนุ่มทั้งสามคนนี้ เมิร์ฟ และ อัลลัน สามารถเข้าไปในตัวพิพิธภัณฑ์ได้โดยปราศจากการตรวจจับของระบบกันขโมย ผ่านยามที่เฝ้าพิพิธภัณฑ์ในกะดึกเพียง 8 คนไปได้อย่างสบาย รู้ตัวอีกทีเพชรก็ถูกขโมยไปแล้ว 

“อัลลันบอกกับผมว่าเขาได้ยินเสียงของเพชร เขาบอกว่า ‘เอาพวกเรากลับไปไมอามีด้วยสิ’ ผมก็เลยบอกเขาไปว่า ‘ได้สิ เอากลับไปไมอามีกัน” 

หลักจากที่เพชรจำนวนมากถูกขโมยไป เจมส์ โอลิเวอร์ ผู้อำนวยการพิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์แห่งชาตินิวยอร์กได้ออกมายอมรับความผิดพลาดต่อเรื่องดังกล่าว เขาไม่ปฏิเสธว่าการโจรกรรมครั้งนี้สำเร็จได้เพราะความไร้ประสิทธิภาพของระบบป้องกันของที่นี่ ซึ่งเขาเองก็รู้ โอลิเวอร์เคยเรียกร้องงบประมาณในการซ่อมแซมไปกับทางศาลากลางแล้ว แต่งบสำหรับการจ้างพนักงานรักษาความปลอดภัยกลับไม่เคยเพิ่มมากว่า 10 ปี ส่วนหน้าต่างที่เปิดทิ้งไว้ก็เป็นการเปิดเพื่อระบายอากาศ

สาเหตุที่พวก เมิร์ฟ เข้าไปในห้องเพชรได้ เพราะตลอดเวลาที่ผ่านมาไม่เคยมีการปล้นเกิดขึ้นมาก่อน จนทำให้เกิดความประมาท ไม่ได้ส่งใครไปเฝ้าห้องนั้นเป็นประจำอย่างสม่ำเสมอมาเป็นเวลานานแล้ว 


Photo : si.com

หลังจากที่พวกเขาออกมาจากพิพิธภัณฑ์ได้ พวกเขามุ่งหน้าไปกบดานอยู่ในห้องเพนต์เฮาส์หรูที่โรงแรมเคมบริดจ์ในนิวยอร์ก การโจรกรรมเพชรครั้งนี้ ขึ้นชื่อว่าเป็นหนึ่งในการปล้นที่โด่งดังที่สุดในสหรัฐอเมริกาและสำหรับศตวรรษที่ 20 เนื่องจากเพชรแต่ละเม็ดที่ เมิร์ฟ และเพื่อนได้ไป ถือเป็นเพชรที่มีค่าที่สุดในปี 1964 หากมองข้ามเรื่องจริยธรรมไป การขโมยครั้งนี้ นักข่าวจากสำนักพิมพ์ The New York Post อย่าง นอร่า เอพรอน ยังมองว่าพวกเขาประสบความสำเร็จเป็นอย่างมาก 

“พวกเขาได้ก่ออาชญากรรมแบบที่ไม่มีเหยื่อผู้เคราะห์ร้ายได้อย่างสมบูรณ์แบบ” 

“มันแสบสันที่สุด ไม่มีใครทราบเลยว่าพวกเขากำลังคิดอะไรอยู่ เพราะภาพที่เห็น พวกเขาก็เหมือนกับชายหนุ่มรูปงามผู้ชื่นชอบในการปาร์ตี้เท่านั้น” 

เวลาผ่านไป 2 วัน ขณะที่กำลังฉลองกันอยู่ที่โรงแรมเคมบริดจ์ จากการให้เบาะแสของพนักงานโรงแรมคนหนึ่ง ที่นั่นตำรวจได้หลักฐานมาเป็นจำนวนมาก ไม่ว่าจะเป็นแผนที่พิพิธภัณฑ์ ยาเสพติด และหนังสือเกี่ยวกับอัญมณี อย่างไรก็ตาม พวกเขาก็ไม่สามารถรวบรวมหลักฐานได้อย่างเพียงพอ เพราะหลักฐานชิ้นที่สำคัญที่สุดอย่างเพชรที่โดนขโมยมาก็หายไปอย่างเป็นปริศนา นอกจากนี้อาชญากรคนเดียวที่เขาสามารถจับกุมได้ก็คือ โรเจอร์ เขาให้การรับสารภาพอย่างหมดเปลือกกับตำรวจว่า เมิร์ฟ และ อัลลัน ได้บินหนีกลับไปที่ไมอามีแล้ว 

ทั้งสามคนถูกตั้งข้อหาลักทรัพย์และครอบครองอุปกรณ์การลักทรัพย์ เมิร์ฟ และ อัลลัน เดินทางกลับมาขึ้นศาลที่นิวยอร์กราวกับเป็นคนดัง ภาพของชายหนุ่มหน้าตาดีสองคนในชุดสูทที่เพิ่งลงมาจากเครื่องบินที่สนามบินเจเอฟเค ไม่ได้ทำให้ดูน่าเชื่อเลยว่า คนพวกนี้คือโจรปล้นเพชร เนื่องจากมีหลักฐานไม่เพียงพอและปราศจากพยาน ส่งผลให้ เมิร์ฟ และ อัลลัน ถูกปล่อยตัวกลับไปปาร์ตี้ต่อที่ไมอามีอย่างรวดเร็ว 


Photo : washingtonpost

เมิร์ฟ เองก็ไม่ยี่หระต่อเรื่องดังกล่าวแต่อย่างใด เขายังคิดว่าการมานิวยอร์กในเวลาอันสั้นนี้ ทำให้แผนการไปเล่นเซิร์ฟที่ฮาวายของเขาล่มลงไปอีกด้วย

เมิร์ฟ และ อัลลัน โดนเพ่งเล็งจากอัยการสืบสวนที่ชื่อ มัวรีซ นัดจาริ การสืบสวนของ มัวรีซ ทำให้เขาค้นพบเบาะแสที่สำคัญอีกชิ้นหนึ่งคือ เมิร์ฟ และ อัลลัน เคยขโมยเพชรและลักพาตัวนักแสดงหญิงชาวฮังกาเรียนชื่อดังอย่าง เอวา กาบอร์ ในไมอามี และนี่เองที่กลายเป็นเบาะแสชิ้นสำคัญสำหรับมัดตัวพวกเขา 

เอวา เลือกที่จะไม่ดำเนินคดี เพราะแค่เรื่องคดีขโมยเพชรก็มีน้ำหนักมากพอที่จะทำให้พวกเขาเข้าไปอยู่หลังลูกกรงได้ หลังจากที่โดนจับกุม อัลลัน เลือกที่จะยื่นข้อเสนอให้แก่ มัวรีซ ว่าเขาสามารถเอาเพชรกลับมาคืนมาให้ได้ เพื่อการลดหย่อนโทษ แต่เขากับ มัวรีซ ต้องกลับไปไมอามีด้วยกันแค่ 2 คนเท่านั้น 

การสืบค้นในไมอามีเริ่มต้นขึ้น โดยที่ มัวรีซ ไม่ได้หลงกล อัลลัน แต่อย่างใด เขาพาเจ้าหน้าที่ตำรวจอีก 3 คนไปด้วย จนในที่สุดพวกเขาก็ค้นพบกระเป๋าที่เต็มไปด้วยเพชรของ อัลลัน ที่ถูกซ่อนไว้ใต้ท้องเรือของเขาที่อ่าวบิสเคย์น 

เพชรส่วนมากถูกส่งกลับคืนสู่พิพิธภัณฑ์ ภายใต้ระบบรักษาความปลอดภัยที่ดีกว่าเดิม แต่ DeLong Star Ruby ยังคงสาบสูญ ก่อนที่จะมาเจอทีหลังผ่านการเปิดเผยข้อมูลโดยบุคคลนิรนาม พร้อมเจรจาคืนเพชรให้ แลกกับเงินจำนวน 25,000 ดอลลาร์สหรัฐ โดยเขาจะนำเพชรมาวางคืนไว้ให้ในตู้โทรศัพท์สาธารณะแห่งหนึ่งในรัฐฟลอริดา ผู้รับผิดชอบค่าใช้จ่ายครั้งนี้ได้แก่เศรษฐีจากนิวยอร์กชื่อ จอห์น ดี. แมคอาเธอร์ หลังจากนั้นไม่นาน ได้มีการจับกุมชายชื่อ ดันแคน เพียร์สัน ข้อหานำเพชรไปซ่อน 


Photo : si.com

ส่วนเพชรที่หายไปและไม่สามารถหาเจอจนถึงวันนี้คือ Eagle Diamond ตำรวจสันนิษฐานว่าเพชรเม็ดนี้ได้ถูกตัดแบ่งออกเป็นหลาย ๆ ส่วนแล้ว 

เมิร์ฟ, อัลลัน และ โรเจอร์ โดนตัดสินโทษจำคุกเป็นเวลา 3 ปี ในปี 1965 และออกมาในปี 1967 เรื่องของโจรปล้นเพชรดำเนินต่ออีกครั้ง แต่คราวนี้คนที่ซวยหนักที่สุดคือ เมิร์ฟ เดอะ เซิร์ฟ

In Cold Blood?

“เพื่อนของผมบางคนล้ำเส้นไปเยอะแล้วพวกเขาก็พาผมไปด้วย พวกเขาเข้าไปพัวพันกับยาเสพติดและเรื่องเลวร้ายอีกมากมาย ผมตัดสินใจทำเรื่องเลวร้ายไปเยอะมาก”

เมิร์ฟ และ อัลลัน พ้นโทษออกจากคุกมาในปี 1967 ทั้งสองคนหวนคืนสู่ไมอามีและขาดการติดต่อกับ โรเจอร์ ไป พวกเขายังประกอบอาชีพเป็นโจรขโมยเพชรอยู่เหมือนเดิม อัลลัน แต่งงาน แต่เขาก็มีความสุขได้เพียงช่วงสั้น ๆ หลังจากโดนบุกจับกุมในฐานะโจรขโมยเพชรอีก ในตอนนั้นเอง เมิร์ฟ ได้เดินทางหนีไปทางฝั่งตะวันตกแล้ว แต่สุดท้ายการบุกจับกุมก็ไม่เป็นผล เพราะทั้งคู่ก็ยังเป็นโจรที่มีฝีมือ ที่สามารถกำจัดหลักฐานได้ก่อนจะมีการตั้งข้อหาเกิดขึ้น 


Photo : tampabay.com

ในขณะที่ อัลลัน ยังอยู่ที่ไมอามี เมิร์ฟ มุ่งหน้าสู่ลอสแอนเจลิส รัฐแคลิฟอร์เนีย คราวนี้เขาได้เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับคดีฉ้อโกงของเลขานุการผู้หญิงสองคน ชื่อ เทอร์รี่ เคนท์ แฟรงค์ อายุ 23 ปี และ แอนเนลี่ มาเรีย มอห์น อายุ 21 ปี ที่ทำงานอยู่ในบริษัทหลักทรัพย์นายหน้าแห่งหนึ่งในลอสแอนเจลิส นอกจากเทอร์รี่และแอนเนลี่ เมิร์ฟ ได้พบกับผู้สมรู้ร่วมคิดที่ชื่อ แจ็ค กริฟฟิท และชายปริศนาอีกคนที่ชื่อ รัสตี้ พวกเขาทั้ง 5 คน ได้หลบหนีจากการฉ้อโกงเงินจำนวน 488,732 ดอลลาร์สหรัฐ และกลับมาที่ไมอามีอีกครั้ง 

พวกเขาขัดแย้งกันในเรื่องของผลประโยชน์ เพราะตกลงเรื่องส่วนแบ่งของเงินที่โกงกันมาไม่ได้ โดยวันหนึ่งพวกเขาออกไปนั่งเรือเล่นกันในคลอง เมิร์ฟ เป็นคนขับเรือ เขาเล่าว่ามีบทสนทนาถกเถียงกันระหว่างที่เขาขับ เขาได้ยินเสียงผู้หญิงคนหนึ่ง โดยที่ไม่ทราบว่าเป็นเทอร์รี่หรือแอนเนลี่ เธอขู่ที่จะฟ้องเอฟบีไอ หากไม่ได้ส่วนแบ่งของเธอ 

หลังจากนั้นในวันที่ 8 ธันวาคม 1967 ก็เกิดเรื่องสุดสะพรึงขึ้น มีคนพบร่างที่ไร้วิญญาณของเทอร์รี่และแอนเนลี่ในชุดบิกินีจมอยู่ที่คลองวิสกี้ ครีก รัฐฟลอริดา ร่างของพวกเธอถูกถ่วงด้วยคอนกรีตและมีร่องรอยของการทุบกระโหลก กลายมาเป็นคดีฆาตกรรมสุดสยองขวัญแห่งคลองวิสกี้ ครีก ที่ยังคงถูกบอกเล่ามาจนถึงทุกวันนี้ 

ผู้ต้องสงสัยหลักของเรื่องนี้ หนีไม่พ้น เมิร์ฟ เขายืนกรานว่าเขาไม่ได้เป็นคนทำ แต่เป็นชายปริศนาที่ชื่อ รัสตี้ ต่างหากที่ลงมือ แม้แต่เขาเองก็เห็นตอนที่รัสตี้ลงมือในความมืดในค่ำคืนหนึ่ง แต่คำพูดของ เมิร์ฟ ก็ไม่มีน้ำหนักให้เชื่อถืออย่างเพียงพอ 

มีพยานผู้หญิงคนหนึ่งพบเห็นพวกเขาขณะล่องเรือ ขึ้นให้การต่อศาลระหว่างที่มีการไต่สวนคดีฆาตกรรมวิสกี้ ครีก กล่าวว่า เธอเห็นคนแค่ 4 คนเท่านั้นบนเรือ ไม่มีบุคคลที่ 5 แต่อย่างใด คำให้การของ เมิร์ฟ จึงฟังไม่ขึ้น 

อย่างไรก็ดี ถึง เมิร์ฟ จะแก้ต่างว่าเขาไม่ได้เป็นคนลงมือ แต่เขาก็รับสารภาพว่าเขาเป็นคนที่ช่วยกำจัดศพ 


Photo : washingtonpost

“มันคือฝันร้าย มันไม่เคยเป็นส่วนหนึ่งของแผน ผมมีศพอยู่ 2 ร่างอยู่ท้ายเรือ แต่คุณก็ต้องจัดการสถานการณ์ให้ดีที่สุดเท่าที่คุณจะทำได้นั่นแหละ” เมิร์ฟ ย้อนกลับไปเล่าถึงเหตุการณ์สยองขวัญครั้งนั้นในวัย 77 ปี 

หลังจากเหตุการณ์ฆาตกรรมที่คลองวิสกี้ ครีก เมิร์ฟ และ กริฟฟิท ถูกตัดสินจำคุกเป็นเวลา 17 ปีในปี 1969 ที่เรือนจำกลางประจำรัฐฟลอริดา คดีนี้ยังมีการพาดพิงกลับไปถึง อัลลัน เพื่อนเก่าของเขาที่เคยกันร่วมปล้นเพชร ในฐานะคนที่เคยส่งหลักฐานการฉ้อโกงเงินครั้งนั้น แต่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการฆาตกรรมแต่อย่างใด

ไม่มีใครทราบว่าสุดท้าย เมิร์ฟ เป็นคนทำจริงหรือไม่ แต่เขาก็มีความผิดในฐานะอาชญากรที่มีส่วนช่วยในการอำพรางศพ แน่นอนว่าเหตุการณ์ครั้งนี้ส่งผลกระทบต่อจิตใจของเขาอย่างมหาศาล และนี่เองก็เป็นจุดเปลี่ยนจริง ๆ สำหรับ เมิร์ฟ เดอะ เซิร์ฟ 


Photo : si.com

เขาใช้เวลาอยู่ในเรือนจำในฐานะผู้เลื่อมใสในศาสนาคริสต์ และทำหน้าที่เป็นผู้เทศนาให้แก่นักโทษจำนวนมาก เขากลายมาเป็นนักบุญที่พยายามใช้เวลาที่เหลือไปกับการประพฤติตนให้อยู่ในโอวาททางศาสนา หลังจากที่ผ่านเหตุการณ์ที่ร้ายแรงที่สุดในชีวิตอาชญากรของเขามา ส่วนชีวิตหลังจากนั้นของ อัลลัน เขาได้งานเป็นคนทำอุปกรณ์ประกอบฉากให้กับกองถ่ายภาพยนตร์อยู่ที่ลอสแอนเจลิสนับแต่นั้น

ชีวิตจริงยิ่งกว่าภาพยนตร์

เรื่องราวของ เมิร์ฟ ถูกนำมาตีแผ่เป็นภาพยนตร์ในปี 1975 ในชื่อเดียวกันกับฉายาของเขา “Murph The Surf” กำกับโดย มาร์วิน เจ. ชอมสกี้ หนังเรื่องนี้ยังได้ อัลลัน มารับหน้าที่ในการช่วยเขียนบทอีกด้วย ภาพยนตร์เรื่องนี้ออกฉายและได้รับเสียงตอบรับจากผู้ชมว่าเป็นหนังโจรกรรมที่สนุกเรื่องหนึ่ง อย่างไรก็ดี ก็มีบางคนบอกว่าหนังพยายามเชิดชู อัลลัน มากไป จนทำให้ เมิร์ฟ ดูจะกลายเป็นพระรองไปแทน 


Photo : imdb.com

ปัจจุบัน แจ็ค โรแลนด์ เมอร์ฟี่ หรือ “เมิร์ฟ เดอะ เซิร์ฟ” ได้เสียชีวิตลงแล้วในวัย 83 ปี จากอาการหัวใจล้มเหลวในบ้านของเขาเมื่อปี 2020 ที่ผ่านมา ว่ากันว่าวีรกรรมของ เมิร์ฟ และเพื่อนในตอนที่เข้าไปปล้นเพชรที่พิพิธภัณฑ์นั้น กลายเป็นการสร้างภาพจำและค่านิยมโดยสื่อในเวลาต่อมาว่า การเป็นโจรปล้นศิลปะนั้นดูเท่ไปเสียหมดเหมือนกับ เมิร์ฟ และเพื่อน 

นี่คงเป็นบทเรียนให้แก่ใครหลาย ๆ คน เมิร์ฟ เดอะ เซิร์ฟ เป็นคนที่เปี่ยมไปด้วยความสามารถ ในฐานะนักกีฬาและนักดนตรี แต่หากมองอีกแง่หนึ่ง เราก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าสิ่งที่ เมิร์ฟ ทำนั้นไม่ถูกต้อง หากเขาเลือกที่จะสร้างชีวิตในฐานะไลฟ์การ์ดและเอาดีทางด้านการเล่นเซิร์ฟต่อ ป่านนี้เขาอาจจะได้กลายมาเป็นผู้มีคุณูปการต่อวงการเซิร์ฟอย่างมากก็ได้


Photo : si.com

ลองนึกภาพว่ามันจะดีแค่ไหน หากเขาได้ใช้ชีวิตอยู่มาจนถึงจุดที่ได้เห็นกับสองตาว่า กีฬาที่เขาชอบ ได้ถูกบรรจุ และมีการแข่งขันในกีฬาโอลิมปิกอย่างเป็นทางการแล้ว 

แท็กที่เกี่ยวข้อง

เรื่องอื่นที่น่าสนใจ