เรืองไกร ร้องกกต. สอบเพื่อไทย ยุรับเงินซื้อเสียง เข้าข่ายผิดกม.เลือกตั้ง พ่วงสอบ ณัฐวุฒิ ครอบงำพรรค-เป๋าเงินดิจิทัล ชี้งบปี 67 ไม่เหลือให้ใช้
เมื่อวันที่ 21 เม.ย. 2566 ที่สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ ผู้สมัคร ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ยื่นคำร้องต่อ กกต. เพื่อขอให้ตรวจสอบพรรคเพื่อไทย (พท.) กรณีการปราศรัยหาเสียง และนโยบายกระเป๋าเงินดิจิทัล 10,000 บาท
โดยนายเรืองไกร กล่าวว่า ขอให้กกต.ตรวจสอบใน 3 ประเด็น ดังนี้ ประเด็นแรก จากกรณี น.ส.แพทองธาร ชินวัตร หัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย และแคนดิเดตนายกฯ ของพรรค นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว หัวหน้าพรรค และนายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ผอ.ครอบครัวเพื่อไทย ขึ้นเวทีปราศรัยด้วยถ้อยคำว่า “รับเงินหมา กาเพื่อไทย” ซึ่งคำพูดดังกล่าวเข้าข่ายฝ่าฝืนพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ (พ.ร.ป.) ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส. มาตรา 73 (5) ตนจึงรวบรวมหลักฐานประกอบด้วยคลิปวีดีโอ ในการปราศรัย ที่จ.อุดรธานี เมื่อช่วงต้นปีที่ผ่านมา รวมถึงข้อความจากเฟซบุ๊ก และเว็บไซต์ของพรรคเพื่อไทย
นายเรืองไกร กล่าวว่า ประเด็นที่ 2 กรณีนายณัฐวุฒิ ไม่ได้เป็นสมาชิกพรรคเพื่อไทย แต่ขึ้นเวทีปราศรัยช่วยพรรคหาเสียงได้อย่างไร อีกทั้งนายณัฐวุฒิยังต้องคำพิพากษาคดีบุกรุกบ้าน พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ อดีตประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ โดยเจ้าตัวอ้างว่าอยู่ในตำแหน่งผู้ช่วยหัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย ทั้งนี้ การกระทำของนายณัฐวุฒิ บ่งบอกถึงการเป็นดาวเด่นของพรรคเพื่อไทย จึงเกิดคำถามว่าเป็นการชี้นำครอบงำพรรคเพื่อไทยหรือไม่ ถ้าการกระทำของนายณัฐวุฒิ เข้าข่ายผิดมาตรา 28 , 29 ของพ.ร.ป.ว่าด้วยพรรคการเมือง สามารถเสนอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยยุบพรรคต่อไป
นายเรืองไกร กล่าวว่า ประเด็นสุดท้าย ขอให้กกต.ตรวจสอบนโยบายของพรรคเพื่อไทย โดยเฉพาะนโยบายกระเป๋าเงินดิจิทัล 10,000 บาท ให้กับประชาชนที่มีอายุ 16 ปีขึ้นไป ตามที่นายเศรษฐา ทวีสิน แคนดิเดตนายกฯ ของพรรค ได้พูดถึงบนเวทีปราศรัย ซึ่งพบฐานข้อมูลว่ามีประชาชนที่สามารถรับสิทธินี้ได้ 56 ล้านคน ใช้งบประมาณ 5.6 หมื่นล้านบาท
นายเรืองไกร กล่าวต่อว่า การใช้ถ้อยคำว่างบประมาณกับการหาเสียงในนโยบายดังกล่าว หมายถึงการใช้งบประมาณแผ่นดินตามมาตรา 140 ของรัฐธรรมนูญ ซึ่งการใช้งบประมาณดังกล่าวจะใช้ได้เฉพาะกฎหมายการเงินการคลัง ไม่สามารถใช้หาเสียงในลักษณะดังกล่าวได้ การหาเสียงในลักษณะนี้ทำเกินกรอบการใช้งบประมาณแผ่นดินหรือไม่
นายเรืองไกร กล่าวว่า ทั้งนี้ จากตัวเลขที่ใช้งบประมาณมากถึง 5.6 แสนล้านบาท ซึ่งพรรคเพื่อไทยชี้แจงว่าเป็นเงินมาจากการจัดเก็บภาษี 2.6 แสนล้านบาท ทั้งนี้ งบประมาณแผ่นดินปี 2567 ที่รัฐบาลคำนวณการจัดเก็บภาษีได้เพียง 2.67 แสนล้านบาท ซึ่งไม่มีเงินเหลือไว้ใช้กับนโยบายดังกล่าวแล้ว
“ผมท้าให้ใครก็ได้มาถกกฎหมายงบประมาณด้วยกัน กางกฎหมายวินัยการเงินการคลัง กางรัฐธรรมนูญมาถกกัน พวกท่านเป็นกรรมาธิการงบประมาณมา 4 ปี แต่ทำไมถึงตกในประเด็นนี้ ข้อมูลที่บอกว่าจะเก็บเพิ่มได้อีกนั้นไม่ใช่ สำนักงบประมาณได้อธิบายเงินที่จ่ายผ่านกระทรวงต่างๆ หน่วยงานต่างๆ เป็นร้อยโครงการ ซึ่งเงินเอาไปใช้หมดแล้ว
ดังนั้น กรณีกระเป๋าเงินดิจิทัลจะต้องกลับไปรื้องบประมาณใหม่ ซึ่งเคยเกิดขึ้นแล้วในสมัยรัฐบาลน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ที่รื้องบของรัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ที่ได้ทำไว้ก่อนหน้านี้แล้ว ถึงแม้ว่าจะรื้อได้ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะจัดเก็บภาษีได้ตามที่พรรคได้หาเสียงไว้” นายเรืองไกร กล่าว
นายเรืองไกร กล่าวอีกว่า ด้วยเหตุนี้ตนจึงมองว่าผิดมาตรา 73 (5) หรือไม่ เพราะนโยบายดังกล่าวก่อนเงินจะตกไปในกระเป๋าของประชาชน จะต้องผ่านกระทรวงต่างๆ ของรัฐบาลก่อน แล้วหน่วยงานรัฐไหนจะรับเงินดิจิทัลตามที่พรรคเพื่อไทยได้หาเสียง