เมื่อวันที่ 28 มีนาคม ที่พรรคเพื่อไทย “ บิ๊กเอ” ผศ.พิมล ศรีวิกรม์ ประธานที่ปรึกษานโยบายด้านกีฬา พรรคเพื่อไทย และ คณะที่ปรึกษา นายชลิตรัตน์ จันทรุเบกษา, นายณณัฏฐ์ หงษ์ชูเวช แถลงนโยบาย 1 กีฬา 1 รัฐวิสาหกิจ พลัส
ผศ.พิมล กล่าวว่า จริงๆนโยบายนี้ เคยมีมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2544-2549 แต่หลังจากมีการปฏิวัติรัฐประหารในปี พ.ศ.2549 ก็ถูกยกเลิกไป ซึ่งเราจะนำนโยบายนี้มาดำเนินการอีกครั้ง โดยนำงบประมาณจากรัฐวิสาหกิจ ซึ่งมีกว่า 20 แห่ง มีกำไรรวมกันกว่า 2 แสนล้านบาท แบ่งเปอร์เซ็นต์เพียงน้อยนิดตรงนั้นมาช่วยกีฬา
“เราจะให้แต่ละรัฐวิสาหกิจมาจับคู่กับ สมาคมกีฬา ซึ่งจะให้สมาคมกีฬาฯต่างๆส่งแผนงานมา แล้วเราจะจับคู่ให้ นอกจากนี้ อาจจะดึงหน่วยงานรัฐอื่นมาช่วยด้วย อย่างเช่น ตลาดหลักทรัพย์ ซึ่งปัจจุบันดูแลอยู่หลายกีฬา มาร่วมด้วย เพื่อให้เป็นระบบมากขึ้น อย่างไรก็ตามรัฐวิสาหกิจแต่ละแห่งก็จะต้องมีสิทธิ์เข้าไปนั่งเป็นตัวแทนอยู่ในสมาคมกีฬานั้น เพื่อความโปร่งใส และสามารถวัดผลได้ ที่สำคัญเลยจะเป็นหนึ่งในนโยบายที่เร่งด่วนของพรรค โดยจะผลักดันให้แล้วเสร็จภายใน 100 วัน หลังจากเป็นรัฐบาล”
ที่ปรึกษานโยบายด้านกีฬา พรรคเพื่อไทย ที่ปัจจุบันนั่งเป็นนายกสมาคมกีฬาเทควันโดไทยฯ เผยอีกว่า ในวันข้างหน้าเราจะมีนโยบายอื่นๆ ทยอยออกมาอีก อย่างไรก็ตาม เราคงไม่จำเป็นต้องมีเป็น 10 นโยบาย แต่ต้องทำให้เห็นผล ส่วนอีกหนึ่งประเด็นคือเรื่องของกองทุนพัฒนากีฬาแห่งชาติ เราอาจจะเข้าไปดูระเบียบต่างๆ และปรับให้ยืดหยุ่นขึ้น เนื่องจากทุกวันนี้โลกเปลี่ยนไป เงินอาจไม่พอสำหรับสมาคมกีฬานั้น เราต้องปรับให้เข้ากับกาลเวลา
“ต้องทำให้ ไทย ครองเบอร์ 1 อาเซียนในเรื่องของกีฬา ซึ่งไม่ว่าพรรคไหนเข้ามาทำก็ต้องทำให้ได้ มันคือศักดิ์ศรี และหากย้อนมองประวัติศาสตร์ ตั้งแต่ไทยรักไทย มาเป็นเพื่อไทย เราก็ทำได้มาตลอด เพราะฉะนั้นมีสถิติอยู่แล้วว่าเราทำและมีผลงาน ผมมั่นใจว่านโยบายที่ออกมาเราจะสามารถทำมันได้อย่างจริงจัง “
ผศ.พิมล เผยอีกว่า การเข้ามาเป็นที่ปรึกษาด้านกีฬาของพรรคเพื่อไทยครั้งนี้ อย่าเรียกว่าเข้ามาเล่นการเมือง แต่ตนมีความเชื่อมั่นในเรื่องของกีฬา ที่จะส่งผลเศรษฐกิจ มวลชน การเมือง เป็นหนึ่งในซอฟต์พาวเวอร์ และเมื่อครั้งนี้พรรคเชิญเข้ามาร่วม ตนก็มีความยินดี อยากเห็นกีฬาไทยก้าวหน้า พัฒนาในนานาชาติ อยากเห็นประเทศไทย กลับมาคว้าแชมป์ กลับมาคว้าเหรียญทอง ในทุกกีฬาที่ควรจะไดั