เพื่อไทยชี้ยุค ‘ประยุทธ์’ ทำวิกฤตคนเสื่อม หลังนักการเมืองเอี่ยวคดีล่วงละเมิด-ค้ามนุษย์ แนะทบทวนกม.คุ้มครองสตรี ยึดหลักผู้เสียหายเป็นศูนย์กลาง
เมื่อวันที่ 10 พ.ค. น.ส.อรุณี กาสยานนท์ รองเลขาธิการพรรคเพื่อไทย (พท.) กล่าวว่า ช่วงที่ผ่านมามีคดีความของนักการเมืองหรือผู้มีอำนาจ ใช้กำลังกดขี่ข่มเหงล่วงละเมิดทางเพศ และอาจเกี่ยวข้องกับการค้ามนุษย์จนเกิดเป็นคดีความ สะท้อนให้เห็นภาพที่ชัดเจนของสังคมปิตาธิปไตยหรือสังคมชายเป็นใหญ่ที่ยังมีอยู่ในสังคมไทย หลายเหตุการณ์ที่เกี่ยวข้องกับการละเมิดทางเพศและการค้ามนุษย์ที่ถูกกระทำโดยนักการเมือง กลับถูกละเลยจากพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ ยิ่งสะท้อนว่าผู้นำของไทยไม่สนใจความเท่าเทียมและสิทธิมนุษยชนที่เป็นปัญหา ที่สากลโลกตระหนักรู้และให้ความสำคัญในขณะนี้ ความเหลื่อมล้ำในสังคมไทยเป็นปัญหาที่เรื้อรังมานาน และเป็นปัจจัยสำคัญที่เอื้อให้การละเมิดสิทธิมนุษยชนในมิติต่างๆ ส่วนหนึ่งเป็นเพราะกระบวนการยุติธรรมมีจุดบกพร่องด้วย
“แม้ไทยเป็นประเทศที่ให้สิทธิ์ผู้เสียหายฟ้องคดีอาญาได้เอง แต่ผู้เสียหายใช้สิทธิ์น้อยมาก เพราะต้องใช้กำลังทรัพย์ในการเข้าถึงทนาย การหาพยานหลักฐานที่ทำได้ยาก และกระบวนการต่อสู้ทางกฎหมายที่ยืดเยื้อยาวนาน ดังนั้นควรมีการทบทวนหรือแก้ไขข้อกฎหมายในการคุ้มครองสิทธิของสตรี โดยให้ยึดหลักผู้เสียหายคือศูนย์กลาง เมื่อเกิดกรณีพิพาทให้เกิดความเป็นธรรมและต้องลงโทษผู้กระทำผิดให้หลาบจำไม่ให้กลับมาทำผิดซ้ำด้วย”น.ส.อรุณี กล่าว
“ขณะนี้สังคมไทยกำลังเกิดวิกฤตคนเสื่อม เป็นวิกฤตทางสังคมที่ผู้มีอำนาจ ผู้ที่ควรเป็นที่พึ่งที่หวัง เป็นเครื่องชี้นำให้กับสังคม กลายเป็นผู้สร้างวิกฤตให้กับสังคมเสียเอง ทั้งวงการพระสงฆ์ ครูอาจารย์ นักการเมืองที่กระทำผิด เพราะหลงคิดว่ามีอำนาจแล้วเรื่องทุกอย่างจะจบ แต่ลืมมองว่าโลกยุคใหม่สังคมร่วมทำหน้าที่ตรวจสอบหาหลักฐานเปิดโปงอย่างรวดเร็ว ตรงกันข้ามกับคดีของตาสีตาสา ที่กระบวนการทางคดีจะมีความยืดเยื้อยาวนาน การพิจารณาโทษจะละเอียดรอบคอบกว่าคนทั่วไป จนสังคมตั้งคำถามว่าคุกมีไว้ขังคนจนใช่หรือไม่ ตลอด 8 ปีที่มีผู้นำชื่อพล.อ.ประยุทธ์ ประเทศไทยเสื่อมโทรมลงทุกด้าน อย่าให้สังคมและประชาชนต้องเสื่อมศรัทธากับความยุติธรรม ความไม่เท่าเทียมที่ถูกละเลยมานานกว่า 8 ปีอีกเลย” น.ส.อรุณี กล่าว