ระวัง! ฝีดาษลิง ย้ำต้องระวัง เพราะไม่มียารักษา ติดได้ทุกเพศไม่ใช่เพียงรักร่วมเพศ หากเข้าประเทศมีผื่นส่งตรวจเชื้อทันที
จากกรณีข่าวการแพร่ระบาดของไวรัส ฝีดาษลิง ที่เกิดขึ้นในขณะนี้ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้ติดตามสถานการณ์อย่างต่อเนื่อง พร้อมแนะนำไปยังกระทรวงสาธารณสุข เร่งดำเนินการให้ความรู้แก่ประชาชน เพื่อไม่ให้ตื่นตระหนก เกิดความเข้าใจที่ถูกต้อง และรู้เท่าทันต่อสถานการณ์โรคต่างๆ ที่เกิดขึ้นในโลก
และล่าสุดทางเพจ สรยุทธ สุทัศนะจินดา กรรมกรข่าว ได้ออกมาอัพเดทข่าวสารเกี่ยวกับไวรัส ฝีดาษลิง ว่าต้องเฝ้าระวังให้ดีเพราะตอนนี้ยังไม่มียารักษา โดยเบื้องต้นได้ให้ข้อมูลว่า
สธ.ตั้งศูนย์เฝ้าระวัง ‘ฝีดาษลิง’ เข้าประเทศมีผื่นส่งตรวจเชื้อทันที ย้ำต้องระวัง เพราะไม่มียา ชี้สามารถติดได้ทุกคน ไม่เฉพาะกลุ่มคนรักร่วมเพศ
วานนี้ วันที่ 23 พฤษภาคม นพ.จักรรัฐ พิทยาวงศ์อานนท์ ผู้อำนวยการกองระบาดวิทยา กรมควบคุมโรค เปิดเผยถึงการเฝ้าระวัง โรคฝีดาษลิง (monkeypox) ว่ากรมควบคุมโรค ได้จัดตั้งศูนย์ปฏิบัติการภาวะฉุกเฉินทางสาธารณสุข (EOC) กรณีโรคฝีดาษลิง เพื่อเฝ้าระวัง คัดกรอง ผู้เดินทางจากประเทศที่มีการระบาด ช่วยให้ตรวจจับกลุ่มเสี่ยงได้รวดเร็วขึ้น และป้องกันการแพร่ระบาดในประเทศ หลังพบการแพร่ระบาดในหลายประเทศ และสามารถติดต่อจากคนสู่คน
นพ.จักรรัฐ กล่าวว่า ไทยต้องรีบยกระดับศูนย์ขึ้นมา เพื่อให้มั่นใจว่าจะสามารถรับมือได้ทัน เพราะโรคนี้ยังไม่มียาเฉพาะรักษา ต้องรักษาประคับประคอง แม้ว่าในประเทศจะยังไม่มีผู้ติดเชื้อนี้และก็ไม่เคยเจอโรคนี้มาก่อน การจัดตั้งศูนย์เป็นระดับกรมเพื่อเฝ้าระวังและติดตามสถานการณ์ในต่างประเทศก่อนว่าแต่ละประเทศมีข้อมูลอะไรเพิ่มเติม ที่พอจะบอกได้ว่าเกิดอะไรขึ้นในประเทศที่กำลังมีการระบาด มีการแพร่ระบาดถึงระดับไหน
ส่วนการเฝ้าระวังโรคภายในประเทศ ประกอบด้วย
1.คนที่เดินทางเข้าประเทศ ซึ่งที่ด่านสนามบินอาจจะไม่เห็นอาการ เพราะตอนเริ่มต้น อาการอาจจะน้อยหรือไม่มีอาการ แต่เมื่อมาถึงประเทศไทย เกิดตุ่มหนอง ตุ่มน้ำ จึงเน้นเฝ้าระวังในประเทศที่มีความเสี่ยงสูง คือ ประเทศแอฟริกากลาง เช่น ไนจีเรีย และคองโก และประเทศในยุโรปที่มีการแพร่ระบาดภายในประเทศแล้ว คือ อังกฤษ สเปน โปรตุเกส โดยที่สนามบินจะมีการคัดกรองอาการผู้เดินทางมากับเที่ยวบินจากประเทศเหล่านี้ ดูว่ามีแผลอะไรหรือไม่ แบบเดินผ่าน และแจกบัตรเตือนสุขภาพ (Health beware card) เป็นคิวอาร์โค้ดให้สแกนทุกคนที่เดินทางมาจากประเทศเหล่านี้ ซึ่งหลักๆ จะระบุว่าหากมีอาการ เช่น ไข้ มีตุ่ม ให้รายงานเข้าระบบและรีบไปพบแพทย์ใน รพ.ที่ใกล้ที่สุด รวมถึงแจ้งประวัติการเดินทางจากประเทศกลุ่มเสี่ยงให้เจ้าหน้าที่ทราบด้วย2.เฝ้าระวังที่สถานพยาบาล โดยหากพบผู้ป่วยที่เข้าข่ายสงสัย คือมีอาการเข้าได้กับโรค และมีประวัติเดินทางจากประเทศเสี่ยงที่กำลังมีโรคนี้ระบาดข้างต้น ให้สถานพยาบาลเก็บตัวอย่างเพื่อส่งตรวจหาเชื้อ ซึ่งประเทศไทยสามารถตรวจเชื้อนี้ได้ แต่ยังทำได้ที่ส่วนกลางคือกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ และรายงานเข้าระบบการเฝ้าระวัง อย่างไรก็ตาม หากมีผู้ติดเชื้อเข้าในประเทศไทย อาจจะต้องมีกระจายให้ศูนย์ในต่างจังหวัดช่วยตรวจ
นพ.จักรรัฐกล่าวว่า โรคฝีดาษลิงมีประปรายในแอฟริกามานานหลายปีแล้ว แต่ที่ผ่านมาไม่มีคนไปนำโรคออกมาจากภูมิภาคนี้ ครั้งนี้มีคนไปนำโรคออกมา ไปติดเชื้อมาจากประเทศในแอฟริกาและบินกลับ นำเชื้อเข้ามาในยุโรปทั้ง อังกฤษ สเปน โปรตุเกส และไปสัมผัสใกล้ชิดกันมากกับผู้ที่ติดเชื้อจึงติดเชื้อกัน ซึ่งมีการติดเชื้อกันหลายกลุ่ม แต่กลุ่มที่มีการระบาดค่อนข้างมาก ใน 100 กว่าราย มีหลายคลัสเตอร์ที่เกี่ยวข้องกับกลุ่มชายรักชาย (MSM) แต่จริงๆ แล้วแพร่ได้หมดไม่ว่าจะเป็นใคร หากมีการสัมผัสใกล้ชิดกับผู้ติดเชื้อ และกลุ่มผู้ติดเชื้อที่เจอในแต่ละประเทศในยุโรปยังไม่ได้เกี่ยวข้องกัน เป็นการนำเชื้อมาจากประเทศแถบแอฟริกา ซึ่งเมื่อหลุดออกมาจากแอฟริกาเข้ายุโรปแล้ว จากนี้ก็อาจจะเกิดการแพร่ข้ามประเทศในยุโรปกันเอง
ส่วนจะต้องมีการปลูกฝีป้องกันฝีดาษใหม่หรือไม่ นั้น นพ.จักรรัฐกล่าวว่า ยังไม่ต้อง เพราะขณะนี้ทั่วโลกไม่ได้มีวัคซีนฝีดาษมากขนาดนั้นแล้ว โรคเคยถูกกวาดล้างไปหมดแล้ว จะมีเพียงบางประเทศที่ยังเก็บวัคซีนนี้ไว้ แต่ในประเทศไทยไม่มี กำลังมีการประสานงานหาวัคซีนอยู่ว่ามีประเทศใดเก็บไว้บ้าง หรือถ้าจะผลิตเพิ่มก็ต้องดูว่ามีบริษัทใดจะผลิตเพิ่มได้บ้าง เพราะคงต้องใช้เชื้อ ซึ่งเดิมมีแค่ 2 ประเทศที่เก็บไว้ คือ สหรัฐอเมริกาและรัสเซีย แต่ก็สามารถจำลองสายพันธุ์ออกมาทำวัคซีนได้ ไม่จำเป็นต้องใช้ตัวจริงทั้งนี้ คนไทยที่เกิดก่อนปี 2523 จะได้รับการปลูกฝีป้องกันฝีดาษทุกคน แต่ที่เกิดหลังจากปี 2523 จะไม่ได้รับวัคซีนนี้ เพราะโรคฝีดาษถูกกวาดล้างไปหมดแล้ว
นพ.จักรรัฐกล่าวด้วยว่า ความเสี่ยงของการระบาดโรคฝีดาษลิงน่าจะต่างกับโรคโควิด-19 เพราะโควิด-19 แพร่กระจายได้เร็ว อย่สงไรก็ตามโรคฝีดาษลิง เท่าที่ดูในช่วง 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา ก็แพร่กระจายได้ค่อนข้างเร็ว ซึ่งต้องติดตามสถานการณ์และข้อมูลของฝีดาษลิงอย่างใกล้ชิดว่ากลไกในการติดเชื้อ นอกจากการอยู่ใกล้ชิดแล้ว มีกลไกอื่นอีกหรือไม่ ตอนนี้มีข้อมูลน้อยมาก และทั่วโลกมีรายงานผู้ติดเชื้อเพียง 100 ราย ส่วนจะเป็นสายพันธุ์แตกต่างจากที่เคยพบหรือไม่ ก็ต้องติดตาม
นพ.ศุภกิจ ศิริลักษณ์ อธิบดีกรมวิทยาสตร์การแพทย์ กล่าวว่า การติดเชื้อโรคฝีดาษลิงใน ‘คนสู่คน’ เกิดจากการสัมผัสแลกเปลี่ยนสารคัดหลั่ง ละอองฝอยน้ำลาย รวมถึงเลือด ดังนั้น กรณีที่มีแผลก็ทำให้ติดเชื้อได้ ดังนั้น ความคิดที่ว่าส่วนใหญ่จะติดเชื้อในกลุ่มคนรักร่วมเพศจึงไม่ถูกต้อง เพราะสามารถติดได้ทุกคน เพราะเป็นการติดเชื้อในลักษณะใกล้ชิดกันมาก อย่างไรก็ตาม การติดเชื้อไม่ได้ง่ายเหมือนกับโควิด-19 และมีความน่ากังวลน้อยกว่าโรคฝีดาษคน (Smallpox)
“กรมวิทยาศาสตร์ฯได้ตั้งห้องปฏิบัติการ (แล็บ) เพื่อตรวจหาเชื้อโรคฝีดาษลิงในผู้ที่สงสัยว่าจะติดเชื้อแล้ว หากผู้ที่มีผื่น ตุ่มหนองตามร่างกาย ทางสถานพยาบาลก็สามารถสวอบ (Swab) เชื้อบริเวณแผล ส่งตรวจ RT-PCR ได้ที่แล็บ ซึ่งมีน้ำยาตรวจเฉพาะ และใช้เวลารอผลเหมือนกับการตรวจโควิด-19”
อ่านข่าวที่น่าสนใจ
- เร่งสร้างการรับรู้ โรคฝีดาษลิง แพร่เชื้อจากคนสู่คน แม้น้อยแต่อาจเกิดขึ้นได้
- ชาติแรก!! “เบลเยียม” ออกมาตรคุมเข้ม ‘ฝีดาษลิง’ หากติดเชื้อ สั่งกักตัว 21 วัน หวังสกัดการระบาด
- ฝีดาษลิง กับ โควิด-19 ป้องกันต่างกันอย่างไร เมื่อยังไม่มียารักษา?
- สหรัฐฯ ยืนยันพบผู้ติดเชื้อ โรคฝีดาษลิง รายแรกของปี WHO เผย สามารถติดต่อจากการมีเพศสัมพันธ์