เป็นเอก ต๊อก-อุ้ม นั่งเล่าเบื้องหลัง มนต์รักทรานซิสเตอร์ ก่อนฉายจริง ชี้ตอนอ่านนิยายได้กลิ่นฝน กลิ่นดิน นักแสดงนำเผยฝึกร้องเพลง ประทับใจฉากยิ่งนัก
วันที่ 15 ก.ค.2565 ที่ศูนย์เยาวชนคลองเตย มีการจัดเสวนาก่อนภาพยนตร์เรื่องมนต์รักทรานซิสเตอร์จะฉาย ในเทศกาลกรุงเทพกลางแปลง โดยมีเป็นเอก รัตนเรือง ผู้กำกับและนักแสดงนำ ได้แก่ ต๊อก ศุภกรณ์ กิจสุวรรณ และ อุ้ม สิริยากร พุกกะเวสเข้าร่วม โดยได้คุยกันถึงหนังที่ดัดแปลงมาจากหนังสือของวัฒน์ วัลยางกูร ตำนานนักเขียนผู้ล่วงลับ
เป็นเอกเผยว่ามีเพื่อนส่งนิยายเรื่องนี้มาให้อ่าน แล้วคิดว่ามีอะไรหลายอย่าง ซึ่งหากเราทำออกมาแล้วจะเป็นภาพวาดที่ใหญ่ขึ้นกว่าเดิม เป็นสเกลที่ใหญ่ขึ้น มีทั้งฉากคอนเสิร์ต ฉากงานวัด มีดนตรี และที่สำคัญตนเป็นคนกรุงเทพฯ ตลอดชีวิตเกิดและโตที่กรุงเทพฯ ไม่รู้เรื่องต่างจังหวัดเลยจึงเขียนว่าเรื่องนี้น่าเอามาทำ ได้ออกไปเห็นต้นไม้ ทุ่งนา
สำหรับผม เรื่องมนต์รักทรานซิสเตอร์ไม่ใช่เรื่องที่ประทับใจขนาดนั้นตอนถ่าย สิ่งที่ชอบเกี่ยวกับมันไม่ใช่เนื้อเรื่อง ไม่ใช่ตัวละคร แต่สิ่งที่ชอบเกี่ยวกับมนต์รักทรานซิสเตอร์คือบรรยากาศของมัน ผมรู้สึกว่าอ่านแล้วได้กลิ่นฝน ได้กลิ่นดิน
โดยตนไม่ค่อยสนหนังสือเท่าไหร่ จะว่าไปพี่วัฒน์คงจะลุกขึ้นมากระทืบแน่ เพราะว่าไม่ได้มีความเคารพต้นฉบับบทประพันธ์มาก เวลาเขียนบท ตนไม่ได้เขียนเป็นเรื่องเท่าไร คิดเป็นภาพ เราอยากเห็นภาพแบบนี้ คิดทุกอย่างเป็นภาพและนำมาประกอบกันแล้วนำมาร้อยเป็นเรื่อง
มันมีตัวละครในเรื่อง 3-4 ตัวละครที่อย่างไรเราก็ยืนยันจะเก็บเอาไว้จากการอ่านบทประพันธ์ คือ แผน สะเดา ผู้จัดการวงดนตรี และนักร้องหญิงอีกคนหนึ่ง และพ่อของนางเอก ตัวละครเหล่านี้แจ่มชัดมากจนอย่างไรก็ต้องอยู่ในหนัง ผมคิดว่าผมมีภาพที่สร้างได้และมีตัวละครที่แข็งแรง ก็เลยคิดว่าไม่ต้องเคารพบทประพันธ์ต้นฉบับก็ได้ แล้วลองดูว่าเกิดอะไรขึ้น
ด้าน ต๊อก ศุภกรณ์ เล่าถึงการเข้าคัดเลือปนักแสดงในภาพยนตร์เรื่องนี้ว่า ตอนนั้นตนไปเห็นโปสเตอร์ภาพยนตร์เรื่องนี้ที่บริษัท ไฟว์สตาร์ โปรดักชั่น จำกัด แล้วรู้สึกถึงดนตรีขึ้นมาในหัวแล้วคิดว่าชื่อภาพยนตร์ดูน่าสนุก จึงถามว่าใครเป็นผู้กำกับ เมื่อรู้ว่าคือ ต้อม เป็นเอก จึงเข้าไปลองแคสต์ดู โดยผู้กำกับบอกให้ร้องเพลงลูกทุ่ง แต่ตนเองร้องเพลงฮิปฮอปให้ฟัง ซึ่งผู้กำกับต้องการตัวละครแผนที่มีเสียงวิเศษ ตนจึงบอกว่าจะพยายามซ้อม
พอหายไป 2-3 เดือน และเขามีนักร้อง ผมต้องขอโทษนักร้องคนนั้นด้วยชื่อวันชนะ เขาร้องเพลงเพราะมาก แล้วเขาให้ชาวเขามาสอนผมร้องเพลง เขาพูดไทยไม่ได้แต่ร้องเพลงลูกทุ่งได้เพราะเลย ก็ให้เขาฝึกให้ ไปอยู่บนดอยกับเขา พอผมพร้อม เลยมาร้องให้พี่ต้อมฟัง ร้องจบเขาก็กอดผมแล้วบอกว่า
“เฮ้ย! ต๊อก สำเร็จวะ โอเค ร้องไปเลย ผมนี่น้ำตาไหลเลยเพราะตอนนั้นมีความรู้สึกว่าเราเล่นได้แล้วแต่ยังร้องไม่ได้”
ด้าน อุ้ม สิริยากร เล่าว่า ตนได้เจอเป็นเอกที่ร้านอาหารด้วยความบังเอิญ และผู้กำกับเล่าให้ฟังว่ากำลังจะทำภาพยนตร์ เดี๋ยวจะติดต่อมา ซึ่งก่อนหน้านี้ก็เคยดูภาพยนตร์ของเขาอยู่บ้าง ตอนนั้นไม่เคยเล่นภาพยนตร์จริงจังเล่นแต่ละคร เลยรู้สึกว่าน่าสนใจดี
ทั้งนี้ก็จำรายละเอียดไม่ค่อยได้มาก แต่หากมีอะไรที่น่าสนใจก็ไม่ได้คิดมาก ตนจะใช้สัญชาตญาณบอกมากกว่าว่าสิ่งนี้น่าสนใจ จึงเข้าไปอ่านบทและจำได้ว่าวันที่เข้าไปอ่านบทครั้งแรกคือวันที่ทุกคนเข้ามาอ่านบทพร้อมกัน เมื่ออ่านเสร็จก็รีบปิด และคิดว่าจะไม่อ่านบทอีกเลยจนกว่าจะถ่ายจริง
ตอนที่แสดงนั้นความจริงเราเป็นคนที่ทำการบ้านเยอะมาก อ่านบทเยอะ ท่องบทเยอะ แต่เรื่องนี้แปลกมากคือในบทเขียนว่าอากาศยามเช้า ก็รู้สึกว่ามันยามเช้า และตัวละครมีความชั้นเดียวมากๆ คือสะเดาเป็นคนที่ไม่ซับซ้อน เพราะฉะนั้น เราอ่านบทรอบแรกจบ ก็รู้เลยว่าต้องลืมให้ได้ ไว้ไปเล่นจริงๆ ไม่ตัองซ้อมด้วย เล่นอะไรเกิดขึ้นก็เกิดขึ้น และเล่นแบบชั้นเดียวที่สุด
มันเป็นเรื่องที่รู้สึกว่ายังจำบรรยากาศการทำงานได้ ยังจำกลิ่นบ้านที่อยุธยา วัดเจ้าเจ็ดใน คือมันมีความทรงจำกับหนังเรื่องนี้เยอะมาก และรู้สึกว่าเป็นหนังที่มีสีสันจัดจ้านมาก มืดก็มืดมาก จัดจ้านก็จัดจ้านมาก ต่อมา เมื่อเวลา 20.00 น. ทีมงานได้ทำการปิดไฟภายในศูนย์เยาวชนคลองเตย และเริ่มฉายภาพยนตร์เรื่องดังกล่าว