การทำงานของทุกคนแน่นอนว่ามันก็ต้องเจอกับปัญหาได้บ้างบางเรื่อง หรือว่า บางคนอาจจะรู้สึกว่าเบื่อกับการทำงานรูปแบบเดิมๆ ในทุกวันเป็นชีวิตประจำวันไปแล้ว ก็คงคิดถึงการลาออกขึ้นมา หรือว่าน้องใหม่ที่เพิ่งจะเริ่มงานเมื่อไม่นานมานี้ ก็คงมีคำถามเกิดขึ้นมาว่า แล้วเมื่อไหร่ละที่เราควรจะลาออก? มาดูเลย 7 สาเหตุที่เราควร ลาออก จากงานนี้ ได้เวลาหางานใหม่กัน!
- วิจัยชี้! ทำงาน 4 วันต่อสัปดาห์ ทำให้องค์กรมีประสิทธิภาพมากกว่า
- แอปพลิเคชั่นใหม่ มีกันยัง Threads คืออะไร? เล่นยังไง มาดูเลย
- ซีรีส์เกาหลีมาใหม่เพียบ! รวมหนัง/ซีรีส์น่าดูตลอดเดือนกรกฎาคม66
7 สาเหตุที่เราควรลาออก
1. เป้าหมายของเรากับองค์กรไม่ตรงกัน
หากคุณทำงานแล้วรู้สึกว่า “ฉันมาทำอะไรที่นี่?” นั่นอาจเป็นเพราะเป้าหมายองค์กรกับเป้าหมายการทำงานของคุณอาจไม่ตรงกันแล้ว ซึ่งส่วนหนึ่งอาจมาจากวิสัยทัศน์ของผู้บริหารที่เป็นตัวกำหนดทิศทางการบริหารขององค์กร หากเราไม่ได้เชื่อในวิสัยทัศน์ของผู้บริหาร ก็จะยิ่งเกิดความขัดแย้งในใจไม่รู้จะทำงานไปเพื่ออะไร และขาดแรงจูงใจในการทำงาน รู้สึกว่าไม่สามารถแสดงศักยภาพในการทำงานได้เต็มที่ และเสียโอกาสในการพัฒนาตัวเองตามเป้าหมายอาชีพที่เราวางไว้
2. ไม่มีอะไรให้เรียนรู้อีกต่อไป
หากถึงจุดหนึ่งที่คุณทำงานมาสักพัก แล้วงานเริ่มจำเจ ไม่ได้เรียนรู้อะไรใหม่ๆ การทำงานเดิมต่อไปอาจจะทำให้คุณขาดโอกาสในการพัฒนาตัวเอง ทางที่ดีควรปรึกษาหัวหน้าถึงโอกาสในการรับผิดชอบงานหรือโปรเจกต์ใหม่ๆ ที่ท้าทายขึ้น แต่หากลองดูแล้วไม่ได้ผลก็อาจจะต้องลองพิจารณางานใหม่เพื่อความก้าวหน้าในอาชีพ
3. ขาดโอกาสในการเติบโต
ชีวิตพนักงานออฟฟิศเมื่อทำงานไปได้สักระยะหนึ่งแล้ว แน่นอนว่าย่อมแสวงหาโอกาสในการเติบโต หากองค์กรของคุณไม่ได้มีการดูแลเรื่อง career path อย่างจริงจัง เงินเดือนคุณไม่ขึ้นหรือขึ้นในอัตราที่ต่ำมาก หรือใช้วิธีเลื่อนขั้นตามระบบอาวุโสมากกว่าความสามารถ ยิ่งมีการเมืองในองค์กรด้วยแล้วละก็ การทนอยู่ที่เดิมก็เหมือนการย่ำอยู่กับที่ การออกไปโตที่อื่นน่าจะเป็นทางเลือกทีดีสำหรับคุณมากกว่า
4. งานที่ทำไม่ตรงกับทักษะความสามารถ
หากคุณทำงานแล้วรู้สึกว่างานที่ทำไม่ตรงกับทักษะความสามารถ แม้จะอาศัยเวลาในการฝึกฝนและพัฒนาตัวเองอย่างจริงจังแล้วก็ยังได้รับการประเมินผลที่ไม่ดีหรือยิ่งรู้สึกไม่ชอบในงานที่ทำ และไม่สามารถขอย้ายแผนกหรือปรับหน้าที่รับผิดชอบได้ อาจถึงเวลาที่คุณต้องกลับมาทบทวนตัวเองอีกครั้งว่าอาชีพไหนหรือองค์กรแบบไหนที่จะเหมาะกับความสามารถและสไตล์การทำงานของคุณแล้วเริ่มมองหางานใหม่อย่างจริงจัง
5. มีปัญหากับหัวหน้า
หากคุณมีปัญหากับหัวหน้าทางที่ดีควรเปิดใจพูดคุยและหาวิธีแก้ไขร่วมกัน ลองทำใจให้เป็นกลางและทบทวนตัวเองก่อนว่าสามารถปรับปรุงหรือปรับตัวเข้าหากันได้ไหม แต่ถ้าไม่ได้จริงๆ หรือเจอหัวหน้าประเภทรับชอบไม่รับผิด ใส่ร้าย เอาเปรียบ ขโมยผลงาน เลือกที่รักมักที่ชัง ระบายอารมณ์ใส่ทุกวัน ไม่รักษาคำพูด ก็อย่าทนเป็นดาวพระศุกร์ให้เขากดขี่เราต่อไปเลย รีบมองหางานใหม่จะดีกว่า เพราะหากเจอหัวหน้าที่ไม่ดีแล้ว โอกาสที่จะทำงานอย่างเป็นสุขหรือเติบโตในองค์กรเดิมจะเป็นไปได้ยากมาก
6. สุขภาพทรุดโทรม
หากงานที่ทำอยู่หนักและกดดันจนทำให้สมดุลชีวิตคุณหายไป และส่งผลกระทบให้สุขภาพคุณทรุดโทรม ไม่ว่าจะเป็นสุขภาพกายหรือสุขภาพใจแล้วล่ะก็ คุณอาจต้องกลับมาโฟกัสที่ตัวเองเป็นอันดับแรกเพราะสุขภาพคือสิ่งที่สำคัญที่สุด อาจลองหาวิธีในการแบ่งเวลาพักผ่อนให้มากขึ้นหรือปรับสไตล์การทำงานใหม่ แต่หากเนื้องานทำให้เราไม่สามารถมี work life balance ได้จริงๆ หรือสภาพแวดล้อมในการทำงานไม่ดีมีแต่เพื่อนร่วมงานที่ toxic ก็อาจถึงเวลาที่คุณต้องพิจารณาโอกาสงานใหม่ๆ แล้ว
7. บริษัทมีปัญหาด้านการเงิน
หากบริษัทที่คุณทำอยู่ในช่วงขาลง ผลประกอบการไม่ดี อยู่ในภาวะขาดทุนเป็นเวลานาน และเริ่มส่งสัญญานว่ามีปัญหาทางการเงิน เช่น เริ่มเห็นคนมาทวงถามหนี้ที่บริษัท เงินเดือนจ่ายไม่ตรงหรือไม่ครบ ก็ควรมองหางานใหม่เผื่อไว้บ้าง เพราะหากไม่หาเผื่อไว้แล้วถูกเลิกจ้างยุบแผนกหรือเลิกกิจการกะทันหันขึ้นมาอาจจะหางานใหม่ได้ไม่ทัน
แหล่งที่มา adecco
ติดตามข่าวสาร Bright Today ช่องทางอื่นๆ
Website : BRIGHT TODAY
Facebook : BRIGHT TV
Line Today : BRIGHT TODAY