ในช่วงเดือนที่ผ่านมา ผู้ติดเชื้อโควิด-19 ของไทยเพิ่มขึ้นหลายเท่าตัว เช่นเดียวกับจำนวนผู้เสียชีวิตที่สูงขึ้นมากจนน่าสลดใจ เรียกได้ว่าประเทศไทยกำลังเผชิญหน้ากับ “วิกฤตโรคระบาด” ที่รุนแรงมากที่สุดครั้งหนึ่ง ในขณะที่หลายหน่วยงานกำลังเร่งมือทำงานเพื่อรักษาชีวิตของประชาชนเอาไว้ ก็มีประชาชนอีกมากมายที่ต้องจบชีวิตลงเพราะเชื้อไวรัสร้าย แต่ปัญหาก็ยังไม่ได้จบลงเพียงเท่านั้น เพราะสถานที่รองรับศพผู้ติดเชื้อโควิด-19 กลับมีอยู่อย่างจำกัด เนื่องจากความกังวลเรื่องการแพร่กระจายของโรค
อย่างไรก็ตาม ท่ามกลางความหวาดกลัวของประชาชนต่อการจัดการศพ ก็ยังมีกลุ่ม “ผู้ควบคุมการเดินทางข้ามมิติ” หรือที่เรียกกันทั่วไปว่า “สัปเหร่อ” ที่ยังคงทุ่มเทกำลังที่มีอยู่ ทำหน้าที่ส่งผู้ถูกโรคร้ายพรากลมหายใจออกเดินทางเป็นครั้งสุดท้าย และต่อไปนี้ คือเรื่องเล่าเกี่ยวกับสถานการณ์โควิด-19 จากปากคำของสัปเหร่อและพระสงฆ์ ทีมงานด่านสุดท้ายในวิกฤตโรคระบาดครั้งนี้
สถานการณ์หน้างาน
จำนวนผู้เสียชีวิตจากโรคโควิด-19 ที่เพิ่มมากขึ้น ส่งผลให้ความต้องการในการจัดการศพมีเพิ่มมากขึ้นตามไปด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องของ “การประกอบพิธีเผาศพ” ซึ่งถือเป็นความเชื่อของคนส่วนใหญ่ในสังคม
“ตั้งแต่เดือนที่แล้ว จนถึงวันนี้ก็เป็นศพที่ 47 แล้ว จริง ๆ วันนี้จะมาอีกทั้งหมด 5 ศพ แต่เรารับไม่ไหว รับได้แค่ 2 ศพ เพราะเตาของเราเก่า โรงพยาบาลก็ต้องหาวัดใหม่ให้กับเขา” นายสุรเสก เนื่องน้อย หรือ “น้าต๋อย” สัปเหร่อประจำวัดสุทธาวาส (ใหม่ตาสุด) เล่าผ่านโทรศัพท์ด้วยน้ำเสียงหน็ดเหนื่อย หลังจากนำศพสุดท้ายของวันใส่เข้าเตาเผาไป
เช่นเดียวกับพระสมุห์บุญเกิด ฐานุตตโร เจ้าอาวาสวัดบางม่วง จังหวัดนนทบุรี ที่ประกาศพร้อมเป็นที่พึ่งในยามยากให้กับประชาชนและจะทำพิธีเผาศพผู้ติดเชื้อโควิด-19 ฟรี ก็เล่าว่า ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา วัดบางม่วงรับเผาศพผู้ติดเชื้อประมาณวันละ 5-8 ศพ จนตอนนี้เตาเผาสำรองของทางวัดได้ชำรุดไป ต้องทำเรื่องขอเตาสำรองมาเพิ่มอีกเตาหนึ่ง เนื่องจากศพมีจำนวนเพิ่มขึ้น ขณะเดียวกัน ทางวัดก็ต้องทำความเข้าใจกับประชาชนในพื้นที่ใกล้เคียง ว่าการเผาศพผู้ติดเชื้อโควิด-19 จะไม่ทำให้เชื้อไวรัสแพร่กระจายไปสู่ชุมชน
การจัดการศพผู้ติดเชื้อโควิด-19 เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่ประชาชนจำนวนมากรู้สึกเป็นกังวล อย่างไรก็ตาม ในคู่มือ “แนวทางการจัดการศพติดเชื้อหรือสงสัยติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ฉบับปรับปรุงใหม่” ของสำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข ได้ระบุว่า ในปัจจุบันยังไม่มีรายงานการแพร่กระจายเชื้อโควิด-19 จากศพสู่คน แต่ผู้ปฏิบัติงานในการจัดการศพมีโอกาสที่จะได้รับเชื้อโรคได้จากการสัมผัสสารคัดหลั่งของผู้ตาย นอกจากนี้ เชื้อไวรัสโควิด-19 ยังไม่สามารถแพร่กระจายในควันที่เกิดจากการเผาศพได้ และการเก็บเถ้ากระดูกก็สามารถทำได้ตามปกติ เนื่องจากเชื้อไวรัสถูกทำลายลงด้วยอุณหภูมิที่สูงไปหมดแล้ว
แม้ใจกลัว แต่ตัวต้องทำ
“อาตมาคุยกันก่อนเลย ตกลงกันว่าใครมีความสมัครใจ ใจเต็มร้อยไปหลวงพ่อก็มา ใครไม่เต็มร้อยก็ไม่ต้องออกมา วัดของหลวงพ่อใจเต็มร้อย อาตมาก็บอกลูกวัด ให้กำลังใจลูกวัด ว่าเราจะสู้กันแค่หมดลม หลวงพ่อสู้แค่หมดลม” พระสมุห์บุญเกิดกล่าว
ปฏิเสธไม่ได้ว่าโรคโควิด-19 สร้างความหวาดกลัวให้กับผู้คนเป็นอย่างมาก แม้แต่ผู้ที่ทำหน้าที่จัดการศพของผู้ติดเชื้อ ซึ่งน้าต๋อยก็ยอมรับว่า เขาเองก็กลัวเหมือนกัน แต่ในท้ายที่สุดมันก็คืออาชีพที่เขาทำอยู่ หากน้าต๋อยไม่เผา ก็คงไม่มีใครยอมจะเปิดเตาเผาศพให้
“ผมสงสารเขา เขาหาวัดลงไม่ได้ บางคนไม่มีเงินถึงขนาดว่าต้องหอบกันออกไปนอกเมือง ถ้าไปวัดหลวงก็มีค่าใช้จ่ายสูง อย่างที่วัดนี้ (วัดสุทธาวาส) ใครมีกำลังช่วยค่าน้ำมันได้ก็ช่วย แล้วเรามีพระสวดให้สี่องค์ ก็แล้วแต่จะใส่ทำบุญให้ท่านไป ส่วนผม ถ้าไม่มีผมก็ไม่เอา ผมเป็นแบบนี้แหละ ตั้งแต่วันแรกจนมาถึงวันนี้” น้าต๋อยเล่า
แม้จะเป็นคนไม่รู้หนังสือ แต่น้าต๋อยก็พยายามศึกษาและหาวิธีการป้องกันตัวเองให้มากที่สุด เช่น เอาเสื้อกันฝนมาใส่ หรือใช้ผงซักฟอกผสมกับผลิตภัณฑ์ขจัดคราบ แล้วใช้ถูศาลาเพื่อฆ่าเชื้อ เป็นต้น
“เราต้องศึกษา แล้วก็ต้องระวัง ทำให้รัดกุมที่สุด ใส่ถุงมือ แอลกอฮอล์เยอะ ๆ แล้วก็พยายามอย่าไปแตะอะไรมาก พอศพเข้าเตาก็อย่าไปยุ่ง ภายในหนึ่งชั่วโมงนี้อย่าไปยุ่งบนเตาเลย ความร้อนขนาดนี้ไม่ต้องกลัวหรอก เชื้อโรคไม่แพร่แน่นอน” พระสมุห์บุญเกิดอธิบาย “แล้วก็หายาที่เขาบอกว่าพอจะช่วยได้มากิน แล้วก็พยายามอาบน้ำบ่อย ๆ อาตมาสั่งให้เข้มงวดเลยตรงนี้ อาตมาก็พยายามเอาเอกชนมาตรวจหาเชื้อให้ แต่มันต้องตรวจบ่อย ๆ ใช่ไหม แล้วเอกชนก็คนละสามพัน ตอนนี้บางโรงพยาบาลก็ไม่รับแล้ว”
เรื่องสะเทือนใจคนทำงาน
ข่าวการเสียชีวิตจากโรคโควิด-19 สร้างความหดหู่ใจให้กับผู้เสพข่าวเป็นอย่างมาก ไม่ต่างจากกลุ่มคนหน้างานที่ทำหน้าที่จัดการศพ ที่ทั้งพระสมุห์บุญเกิดและน้าต๋อยก็ยอมรับว่ามีหลายศพที่สะเทือนใจมากเช่นกัน
“ที่สะเทือนใจเรามาก ก็คือเด็กสองเดือน เขาติดจากพ่อจากแม่ แล้วพ่อแม่ก็มาเผาไม่ได้ ต้องให้ญาติมา น่าสลดใจมาก เปิดรถออกมาเห็นโลงศพเล็กนิดเดียว อายุแค่สองเดือน เขายังไม่ถึงวัยอันควร”
“ศพตะกี้ก็น้ำหนักเกือบ 190 กิโลกรัม ไขมันเขาเยอะ พอเผาไป ไขมันที่ตัวมันออกมา ก็ไหลออกนอกเตา เผอะผละไหลไฟลุก เราก็กวาดขี้เถ้าโรยล้อมเอาไว้ เผาศพโควิดมา 60 กว่าศพ เพิ่งเห็นศพนี้น่าอนาถที่สุด ไฟมันลุก น้ำมันไหลมาเยอะ เห็นแล้วก็ต้องเดินหนี” พระสมุห์บุญเกิดเล่า
ทางด้านน้าต๋อยก็เล่าว่า สิ่งที่สะเทือนใจมากที่สุดคือ การเอาเปรียบคนที่ตกทุกข์ได้ยากในช่วงเวลาวิกฤต โดยเฉพาะคนที่เพิ่งสูญเสียคนรักไป เขาจึงพยายามจัดการทุกศพอย่างเสมอภาค และช่วยเหลือให้มากที่สุดเท่าที่สัปเหร่อคนหนึ่งจะทำได้ ทั้งการจัดการเรื่องงานศพตามประเพณี ทอดผ้า จุดธูปเทียน วางดอกไม้จันทน์ รวมถึงการเก็บกระดูกเขียนชื่อใส่กล่องเอาไว้ จนกว่าญาติ ๆ ผู้เสียชีวิตจะสามารถมารับเขากลับไปทำบุญได้
“เมื่อไม่กี่วันมานี้ มีสองศพที่เป็นบ้านเดียวกัน เขาตายไล่ ๆ กัน ศพแรกผมกำลังเผาอยู่ อีกคนเกิดตายขึ้นมาอีก แล้วเขาหาวัดไม่ได้ เราก็บอกว่าขอเป็นพรุ่งนี้ได้ไหม สิบโมงเดี๋ยวผมเผาให้ เพราะตอนนี้ผมเหนื่อย ตั้งแต่เช้ายังไม่ได้กินข้าวเลย ทางโรงพยาบาลก็ไม่ยอม แล้วโรงพยาบาลยังเรียกเก็บเงินเขาแพงมาก ค่าถุงใส่ศพอย่างเดียว 7,000 บาท ตอนศพแรก เอาถุงใส่ศพของโรงพยาบาลทหารเรือที่เขาคิด 300 บาทไปรับ เขาไม่ให้ใช้ บอกให้เอาไปคืน ถึงจะได้ศพออกมา รวมค่าเอาศพมาวัดก็ 17,000 บาท ทำไมเขาทำกับคนที่ตอนนี้กำลังตกทุกข์ได้ยากกันมาก ทำไมเขาซ้ำเติมกันแบบนี้” น้าต๋อยตัดพ้อ
เสียงจากคนด่านสุดท้าย
“ผมอยากขอร้องให้วัดช่วยเปิดเผาเขาหน่อย คือถ้ามันไม่ปลอดภัย ผมไปตั้งแต่ศพแรก ๆ แล้ว เรามีอะไรเราก็ป้องกัน ตามสภาพของเรา มันก็รอดนะ เราทำดี เขาก็คุ้มครองเรา ถ้าไม่มีเราแล้ว คนอื่นจะทำยังไง ตอนแรกที่เราออกมา ก็เพราะว่าน้อยใจ พระเขาก็ถ่ายแล้วไปลงเฟซบุ๊ก คือเราน้อยใจวัด มีวัดตั้งเยอะแยะ แล้วอย่างสองศพที่ต้องเผา อีกศพเขาต้องเอาไปเผาถึงปทุมธานี จากวัดผมผ่านไปกี่ร้อยวัด นี่แหละที่ผมสะเทือนใจ เพราะผมช่วยเขาไม่ได้” น้าต๋อยระบาย
ขณะที่พระสมุห์บุญเกิดก็ชี้ว่า การเผาศพนั้นเป็นหน้าที่ของวัด ดังนั้น ทุกวัดควรออกมาช่วยเหลือประชาชนและช่วยเหลือกัน เพื่อที่จะไม่ต้องไปหนักแรงที่วัดใดวัดหนึ่ง
นอกเหนือจากการเรียกร้องให้วัดช่วยกันเปิดสถานที่เพื่อจัดการกับศพผู้ติดเชื้อโควิด-19 แล้ว ทั้งน้าต๋อยและพระสมุห์บุญเกิดก็ยังเรียกร้องเรื่องวัคซีนให้กับผู้ทำงานด่านหน้าทุกคน เพราะวัคซีนจะช่วยป้องกันคนกลุ่มนี้จากการทำงานที่มีความเสี่ยงได้
“วัคซีนขอด่วนเลย ฉีดให้พระทุกรูปเถอะ ขนาดไปจองเอกชนยังไม่ได้เลยโยม อาตมาก็สู้แค่หมดลมหายใจ อาตมาสั่งลูก สั่งหลาน สั่งพระ ว่าถ้าหลวงพ่อตายก็เผาเมรุนี้แหละ ไม่ต้องเอาไปไหน ทำใจเอาไว้แล้วว่าตายเป็นตาย” พระสมุห์บุญเกิดกล่าว
ร่วมทำบุญกับวัดบางม่วง ต.บางแม่นาง อ.บางใหญ่ จ.นนทบุรี ธนาคาร ธกส. เลขบัญชี 02-0007-121-621 ชื่อบัญชีวัดบางม่วง หรือร่วมทำบุญกับวัดสุทธาวาส (ใหม่ตาสุด) สัปเหร่อใจสู่ น้าต๋อย (ผู้ควบคุมการเดินทาง ข้ามมิติ) ธนาคารไทยพาณิชย์ สามาเดอะมอลล์ท่าพระ เลขบัญชี 170-3-00397-1 ชื่อบัญชี พระนพพงษ์/ พระนิธิวัฒน์/ นายสุรเสก