เปิดใจ “วู้ดดี้ วุฒิธร” ผู้คว้าดาราไทย-ฮอลลีวู้ด มานั่งคุยชิลๆ มีของดีอะไร ทำไมปังทุกด้าน

Home » เปิดใจ “วู้ดดี้ วุฒิธร” ผู้คว้าดาราไทย-ฮอลลีวู้ด มานั่งคุยชิลๆ มีของดีอะไร ทำไมปังทุกด้าน


เปิดใจ “วู้ดดี้ วุฒิธร” ผู้คว้าดาราไทย-ฮอลลีวู้ด มานั่งคุยชิลๆ มีของดีอะไร ทำไมปังทุกด้าน

เปิดใจ “วู้ดดี้ วุฒิธร” พิธีกรดัง ผู้ที่คว้าดาราไทย-ฮอลลีวู้ด มานั่งคุยชิลๆ เจ้าตัวแชร์ มีของดีอะไร ทำไมทำอะไรก็ปัง พร้อมอัพเดตความรัก ที่แง้มว่าเป็นคนที่บ้าคลั่งรักหนักมาก

ยอมรับเลยว่าพิธีกรชื่อดัง วู้ดดี้ วุฒิธร มิลินทจินดา เป็นคนที่ดาราในวงการไว้ใจที่จะพูดความลับด้วยเป็นที่แรกๆ แถมคนที่จับตัวยาก ไม่ว่าจะเป็นคนดังระดับโลกอย่าง เดวิด เบ็กแฮม ลิซ่า BLACKPINK หรือ พิมรี่พาย ที่ประกาศตัวว่าจะไม่ออกรายการไหน วู้ดดี้ก็คว้าต้วมาคุยได้แบบชิลๆ

งานนี้พิธีกรคนดังเปิดใจกับ ข่าวสดออนไลน์ แบบหมดเปลือกว่ามีของดี หรือสูตรลับอะไรซ่อนอยู่ รวมไปถึงในเรื่องของการทำธุรกิจ ก็ถือว่าเป็นคนที่หยิบจับอะไรก็ปังไปซะหมด เราเลยล้วงเคล็ดลับมาฝากกันด้วยว่าวู้ดดี้มีวิธีคิดยังไงที่ทำให้ทุกอย่างประสบความสำเร็จ

ก่อนอื่น ขอถามถึงเรื่องที่ทำให้ทุกคนว้าวมาก คือการไปออกรายการร้องเพลง หลายคนนึกไม่ถึงร้องเพลงเพราะมาก?
“จริงๆรายการร้องเพลงแบบนี้มันมีเยอะและหลายปีที่ผ่านมาคนก็ติดต่อหลายรายการมาก แต่เรานึกภาพไม่ออกว่าจะไปร้องยังไง แต่ใจจริงอ่ะชอบร้องเพลงอยู่แล้วแต่นึกไม่ออกว่าถ้าเราไปร้องมันจะเป็นยังไงก็เลยปฏิเสธมาโดยตลอด แต่ล่าสุดเราเป็นแฟนรายการร้องข้ามกำแพง เป็นรายการที่ดูแล้วมันมีความสุขมันเพลิดเพลินเขาติดต่อมากับทีมงาน ซึ่งเราให้นโยบายไว้แล้วนะว่าเราไม่ออกรายการประเภทนี้แต่ปรากฏว่าทีมงานเราเขาคิดแทนเรา พี่วู้ดดี้ต้องออกค่ะ

ทีมงานเขาชอบให้เราทำนู่นทำนี่ทำนั่น เขามีหน้าที่ให้เราลองทำอะไรใหม่ๆ เขาบอกว่ารายการติดต่อมาหนูก็เหมือนจะตอบตกลงไป พี่วู้ดดี้ว่ายังไง ก็เลยคิดว่าเอ้าตกลงไปแล้วก็ต้องไปสิ แต่พอเรารู้ว่าเป็นเราตั๊ก ศิริพร ก็ทำให้เรามั่นใจแล้วก็อยากจะไปร่วม ก็เลยเป็นที่มาของการไม่ร้องในรายการ ก็ตามกระบวนการมีการเลือกเพลงซ้อมเตรียมตัว เราก็ร้องคาราโอเกะที่บ้านเช้าสายบ่ายเย็น ก็ไม่ได้จริงจังอะไรมากมายก็แค่ร้องเช้าสายบ่ายเย็น ทุกๆวัน (หัวเราะ)

คือไม่เคยร้องออกทีวีไงเราก็เป็นคนที่อยากให้มันเป๊ะ คือจริงคือจริงๆเราเครียดมาก ซ้อมไปซ้อมมารู้สึกว่าทำไมเราจะต้องเครียดขนาดนี้ด้วย เราจะต้องมีความสุขสิ นี่เราจะได้ร้องเพลงแล้วนะ ก็เลยเปลี่ยนวิธีคิดใหม่ช่างมันอะไรจะเกิดก็ให้มันเกิด มีความสุขที่สุด ได้ไปร้องได้ไปเซอร์ไพรส์พี่ตั๊กแล้วก็ได้ไปเอ็นจอย รู้สึกว่ามันเป็นอะไรใหม่มากที่ไม่ใช่เป็นพิธีกรจัดรายการ ไม่ได้เป็นนักธุรกิจมันดีนะมันได้รับพลังงานใหม่ๆ

สำหรับคนที่เขาดู เขาติดตาม เราก็ได้ฟีดแบ็กมา ร้องเพลงได้ด้วยเหรอ ร้องเพลงเพราะ คือเราเคยมีฝันว่าอยากจะเป็นนักร้องก่อนที่จะเข้าวงการ เราบอกเลยเราอยากเป็นพี่เบิร์ด นั่นคือฝันของเราฝันที่จะเป็นนักร้องในประเทศไทย พอร้องให้คนอื่นเขาฟังเขาก็แบบก็โอเคมั้งแต่ว่าเป็นพิธีกรดีกว่า”

แต่ออกมาเพอร์เฟ็กต์ได้รับคำชมล้นหลาม?
“ขอบคุณมาก เราดีใจมากก็เป็นอีกหนึ่งบทบาทของชีวิตที่ได้ลองทำแล้วมันก็เติมพลังเราตั้งแต่ต้นปีเลย ทุกไตรมาสมันจะมีเรื่องให้เราได้เสพสุขได้รับความสุขคือเราทำงานทั้งปี มันก็จะมีเรื่องให้เราได้ตื่นเต้นได้ดีใจ มันเหมือนกับให้เรามีชีวิตไม่งั้นเราก็จะทำงานออโต้ไปทุกวัน ทุกไตรมาสทีมงานก็จะหาอะไรสนุกๆให้เราทำ

อย่างปีที่แล้วก็มาคุยกับพิมรี่พายไหมมันน่าจะดีนะ กลางปีก็ลองคุยกับลิซ่าไหม ประมาณนี้ อย่างที่เห็นว่ามันก็จะมีการสัมภาษณ์ไปเรื่อย แต่ทุกไตรมาสมันก็จะมีอะไรตื่นเต้นใหม่ๆมาให้เราด้วยเพลิดเพลินเอ็นจอย แล้วพี่น้องชาวไทยก็จะได้สุขไปด้วยกับพวกเรา”

ปีที่แล้วเป็นไงบ้าง กับชีวิตการงาน ?
“คือโควิดอ่ะงานอีเวนต์ของเราอย่างเช่น S2O ที่จัดมาประมาณ5ปี แล้ว fit fest ไม่ได้จัด ปีนี้ก็ไม่ได้จัดเป็นปีที่3แล้ว แผนกของอีเวนต์น่าจะปิดโดยที่ไม่มีกำหนดเลยว่าจะเปิดอีกทีเมื่อไหร่ อันนี้ก็เป็นรายได้ใหญ่เหมือนกันของบริษัทเราก็ต้องปิดไป ทีมงานที่ทำอีเวนต์ก็ต้องหันมาทำอย่างอื่นแทน แต่มันก็มีปิดแล้วก็มีเปิด อีเวนต์ปิดเราก็ลองเปิดมาทำทีวีดู แล้วก็ลองเปิดลู่ทางอื่นในการทำมาหากิน

นอกจากเป็นสื่อเราก็ทำผลิตภัณฑ์ทำโปรดักต์ขึ้นมาไปคอนแท็กต์กับบริษัทโน้นบริษัทนี้เพราะฉะนั้นสิ่งที่หายไปสำหรับเราใน2-3ปีที่ผ่านมาก็คือบทบาทของเราในฐานะที่เป็นผู้จัดอีเวนต์ แต่สิ่งที่ได้มาก็คือบทบาทของเราในฐานะที่เป็นเจ้าของผลิตภัณฑ์หลายอย่างด้วยกัน

จากเดิมที่เราไม่ได้เป็นนักธุรกิจ การทำอีเวนต์หรือการมาทำรายการก็ถือว่ามันเป็นความสุขของเรามากกว่า เพราะเราไม่เคยเป็นนักธุรกิจที่ทำสินค้าพัฒนา ปีสองปีที่ผ่านมา มามุ่งเน้นตรงนี้ถือว่าเป็นการลองผิดลองถูกเราก็ให้ตัวเองสองปีที่ผ่านมาก็ไม่ได้คาดหวังอะไรมากนอกจากได้ลองทำอะไรใหม่แล้วก็ทำให้มันดี ทุกคนเริ่มต้นใหม่ได้เสมอเพราะเราก็บอกตัวเองว่า เรามาเริ่มใหม่เรามานั่งขายของ เรามาเริ่มต้นจากศูนย์ แล้วก็ทำให้มันดีทุกวัน แต่ส่วนของเราก็คือทำอะไรก็ได้ที่ให้คนดูผู้ซื้อแฟนได้รับผลประโยชน์ อันนี้คือโจทย์ของพวกเราในทุกๆอย่างที่ต้องทำ

ถามว่าโควิดที่ผ่านมากระทบกับธุรกิจที่เกิดขึ้นไหม มันก็กระทบ ยอดขายสปอนเซอร์ที่เข้ามา ในแง่ของสื่อมันก็ลงนะไม่ใช่ไม่ลง แต่เราก็สามารถประคองมันไปได้ ในทางกลับกันเราก็มีการทำสินค้าใหม่เพื่อที่จะปลุกตลาดอื่นๆที่เราไม่เคยทำมาก่อนซึ่งมันก็เริ่มดีขึ้น แต่มันไม่ได้มีตัวไหนใน2ปีที่ผ่านมา ที่เรารู้สึกโหได้เงินเป็นกอบเป็นกำ

แต่นั่นมันไม่ใช่สิ่งที่เราตั้งเป้าไว้ในสองปีที่ผ่านมา สองปีที่ผ่านมาเราตั้งเป้าไว้ว่าเราจะอยู่รอดนะเราจะไม่ทิ้งใครเราจะไม่เลย์อ๊อฟเราจะช่วยเหลือดูแลพนักงานทุกคน ทุกคนสู้ไปกับเราและตั้งใจมากับเรา เราจะดูแลทุกคน ดังนั้นเราว่าสองปีที่ผ่านมามันเป็นสองปีที่ได้เรียนรู้อะไรใหม่ ถ้าไม่เจอโควิดถ้ามานั่งคุยตอนนี้ก็คงจะพูดถึงรายการทีวี ก็คงพูดถึงการสัมภาษณ์

แต่สำหรับเราโควิดมันเร่งให้เราเป็นผู้ประกอบการเป็นบุคคลต้องมีวิสัยทัศน์มีภาพชัดมีการคิดภาพใหญ่ของการที่จะสร้างธุรกิจอะไรขึ้นมา ซึ่งก่อนหน้านี้เราไม่มีทักษะตรงนี้เลยมันเป็นอะไรที่ใหม่มากกว่าการทำรายการหรือการเป็นพิธีกร สังเกตว่าเราพยายามที่จะทอล์กให้มันน้อยลง นานๆทอล์กที แล้วก็เอาเวลาไปสร้างงานสร้างคนใหม่ไสำหรับเราหลังจากนี้เป็นต้นไป”

ถือเป็นอีกคนหนึ่งที่หยิบจับอะไรก็ประสบความสำเร็จและเป็นผู้นำตลอด?
“ก็ยอมรับว่าเป็นคนชอบเดินไปข้างหน้าไม่ได้ยึดติดกับอดีต แต่เราก็เชื่อว่าเรามีหลายโปรเจ็กต์ที่มันไม่เวิร์กแต่คนอาจจะไม่รู้ ร้อยเปอร์เซ็นต์เราว่าน่าจะเกินครึ่งหนึ่งนะเป็นธุรกิจที่ไปไม่รอดเป็นรายการที่ไม่เกิดเป็นอีเวนต์ที่ไม่ประสบความสำเร็จแต่ว่าเราอาจจะไม่รู้ แต่สิ่งที่เราเห็นอาจจะเป็นสิ่งที่เป็นตัวที่ประสบความสำเร็จมากกว่า

คนที่ตั้งไจทำมันจะมีทั้งผลลัพธ์และผลไม่รับ ความสำเร็จในหลายด้านนั้นคือเรื่องเรื่องหนึ่ง แต่ที่มิติที่บอกว่าทำอะไรก็ปังเราว่าเป็นสิ่งที่ใจมันอยากทำเราว่าที่ไม่ประสบความสำเร็จก็คือทำไปเพื่อจะได้มีอะไรทำทำไปเพื่อขยายธุรกิจ แต่ถ้าใจมันอยากทำมุ่งพลังในการทำให้มันดีมันก็จะเกิด

อย่างสัมภาษณ์ลิซ่า มันไม่มีใครสัมภาษณ์ลิซ่านะเป็นทางการเป็นทอล์กยาว เราจะเป็นรายการแรกได้ใหม่ มันเกิดจากการตั้งคำถามก่อน เกิดจากการว่าเราจะทำสิ่งนี้ได้ไหม หรือแม้กระทั่งงานสงกรานต์ของเรา S2O เราตั้งคำถามว่าเราจะสามารถสร้างเทศกาลดนตรีที่ไปประดับโลกได้ไหม ซึ่งทุกวันนี้S2Oมีที่ญี่ปุ่น ไต้หวัน จีนเกาหลีและอเมริกาเหนืออเมริกาใต้ในปีหน้า แต่มันเกิดจากการตั้งคำถามก่อนว่างานสงกรานต์เรามันสามารถเป็นเทศกาลดนตรีระดับโลกได้ไหม ฉะนั้นทุกอย่างที่เราทำ เราเริ่มจากการตั้งคำถามก่อน

เราไม่ได้ตั้งคำถามว่าทำอะไรแล้วรวยทำอะไรแล้วปัง ซึ่งเราเคยตั้งแบบนี้มาก่อนแต่มันไม่ไปไหน เราจะตั้งคำถามใหม่ ยกตัวอย่างเช่นปีนี้เราจะทำรายการรูปแบบใดดีที่คนดูได้รับประโยชน์สูงสุดแล้วเปลี่ยนชีวิตเขาไปเลยแค่ดูตอนเดียว หรือเราจะทำยังไงดีที่คนดูจะได้ข้อมูลทั้งหมดภายใน 1 นาทีกับโลกของการเสพสื่อที่เปลี่ยนไป เห็นป่ะว่ามันเริ่มจากการตั้งคำถามก่อน ไม่ใช่ว่าเรามาทำอะไร TikTok สนุกๆ คือเอาผลลัพธ์มาตั้งก่อนผลลัพธ์ที่มันเป็นประโยชน์ต่อทุกคนมาตั้ง”

“ช่วงสองปีที่ผ่านมา มีทำผลิตภัณฑ์2ตัว วิตามินผม ทำกับคุณหมอ แล้ว wando(วันโด้) เป็นผลิตภัณฑ์ที่ช่วยเหลือทำให้ชีวิตคนดีขึ้น ช่วยหลับช่วยขับถ่าย แต่มันเกิดจากคำถามของเราก่อนว่าปัญหาที่มันเป็นปัญหาใหญ่ของสังคมมันคือเรื่องอะไร แล้วเราจะสามารถช่วยเขาได้ยังไง

มันเลยเป็นที่มาของวิตามินผม เรามีปัญหามา 10 กว่าปี เราปลูกผมใช้นู่นใช้นี่มันก็ไม่เวิร์ก เราเลยคิดว่าอาหารผมมันเป็นเรื่องสำคัญเราเลยตั้งกฎใหม่ ถ้าเป็นเราคิดว่าขายอะไรแล้วรวยหรือใครขายอะไรก็ขายบ้าง แต่ตอนนี้เอาใหม่อะไรที่เป็นปัญหาเราแล้วเราอยากแก้แล้วเราคิดว่ามันช่วยเหลือคนอื่น แล้วก็ถามต่อนะว่าถ้าเกิดต้องการทำวิตามินที่มันดีที่สุดต้องทำกับใคร

นี่เลยเป็นเหตุผลว่าเราต้องทำกับคุณหมอ นี่คือการทำงาน หรือแม้กระทั่งการนอนไม่หลับ ก็ต้องมาจากคำถามว่าปัญหาใหญ่ของคนไทยที่มากที่สุดมันเกิดขึ้นจากอะไร ก็คือการขับถ่ายเราจะสามารถทำอะไรที่ช่วยให้การขับถ่ายของผู้คนดีขึ้นได้และเป็นสิ่งที่เราอยากทำแล้วมันเป็นอะไรที่เป็นนวัตกรรมที่ดีที่สุดในวงการ

มันไม่ใช่ว่าคนอื่นขายอะไรแล้วเราอยากขายตามแล้วเราอยากรวยตาม เพราะฉะนั้นที่ถามว่าโปรเจ็กต์ไม่ว่าจะเป็นรายการมันเหมือนจะประสบความสำเร็จ เราไม่อยากจะใช้คำว่าประสบความสำเร็จเราใช้คำว่ามันชัดดีกว่า พอเราเซิร์ชกลุ่มคนแล้วเราตอบโจทย์เขามันรู้สึกได้มันโดนที่เราทำเพราะตั้งให้มันดี คนที่ดูรู้สึกว่ามันโดน

การที่เราสัมภาษณ์คนมันก็ไม่ได้ใหม่นะเพียงแต่เขาอาจจะไม่เคยเห็นภาพนี้มาก่อน หรือโปรเจ็กต์ต่างๆที่เราทำ อย่างเดือนหน้าเราก็กำลังจะเปิดยิมเพราะว่าเราชอบออกกำลังกายมากและเราก็ทำแพลตฟอร์มfit fest มาหลายปีแล้วแล้ว เราตั้งคำถามว่าแล้วถ้าอยากให้คนไทยสามารถเข้าถึงการออกกำลังกายได้โดยมีค่าใช้จ่ายที่น้อยที่สุดและไม่ต้องเดินทางไปยิมอีกต่อไป มีโอไมครอนก็ทำอยู่บ้านก็อุ่นดี มีสุขภาพดีและฟิล แล้วจะทำยังไง เราก็เปิดยิมออนไลน์ไง แล้วยิมออนไลน์ที่ว่ามันจะพิเศษ แล้วมันจะเวิร์กยังไง ก็ต้องเอาเทนเนอร์ที่มีพลังที่สุดในประเทศไทยมาอยู่ตรงนี้

เห็นยังว่าวิธีการทำงานของเราเราจะตั้งคำถามก่อนแล้วก็ทำมันออกไป แล้วอย่างรายการอย่างล่าสุดรายการวู้ดดี้โชว์ที่ช่อง7 เราก็ตั้งคำถามถ้าเราจะกลับมาทีวีเราจะทำรูปแบบใดที่จะสร้างความสุขให้กับเรา แล้วก็สร้างความสุขแบ่งปันให้กับคุณผู้ชม ก็เลยกลายเป็นรายการวู้ดดี้โชว์ที่นำเสนอออกไปแล้วก็จบไปแล้วซีซั่น1 กับช่อง7

แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นใจเราสำคัญที่สุดตอนนี้ว่าอยากทำหรือเปล่า เราอ่ะเป็นคนชอบตั้งคำถามมาตั้งแต่เด็กแล้ว เราชอบถามนี่คือเป็นที่มาของวู้ดดี้เกิดมาคุยนะ แม่เล่าให้ฟังว่าลูกเป็นคนที่ชอบถามคำถามเวลาที่มีงานจัดเลี้ยงที่บ้านแทนที่เราจะไปเล่นกับเด็ก กลับมาอยู่โต๊ะผู้ใหญ่ถามคำถามเป็นมาตั้งแต่เด็กแล้วอยากรู้ บางทีกลายเป็นว่าไม่ได้ถามคนอื่นอย่างเดียว ถามตัวเองอยากทำอะไรอันนี้จะเป็นยังไงจะออกมาเป็นแบบนี้จะดีไหม ตั้งคำถามไปเรื่อยๆ ถ้างั้นเรามาตั้งคำถามอะไรที่มันสูงสุดสำหรับเรา

ทุกวันนี้ไม่ใช่เงิน แต่เวลาที่เราคิดโปรเจ็กต์แล้วมันเกิดขึ้นมันเป็นพลังของตัวเองว่ามันเป็นไปได้ ทีมงานก็จะบอกว่าจากที่คุยกันเขียนบนกระดาษแต่ว่ามันเกิดขึ้น มันเป็นไปได้มันเป็นชัยชนะสำหรับพวกเราทุกคน และเราคิดว่ามนุษย์ทุกคนที่เวลาทำอะไรที่มันเป็นไปไม่ได้ให้เป็นไปได้ มันได้รับพลังทันที แล้วก็ทำสิ่งที่มันเป็นไปไม่ได้ ให้มันเป็นไปได้เราจะได้รับพลังทันที”

“เวลาที่คนมาสัมภาษณ์เรา เขาก็จะบอกว่าจะเกร็งมากเพราะในหัวเขาจะคิดว่าเราเป็นนักสัมภาษณ์แล้วในหัวเขาก็จะคิดว่าเราจะตัดสินคนที่สัมภาษณ์เก่งไม่เก่ง ซึ่งไม่ผิดที่จะคิด แต่อยากจะบอกตรงนี้ว่าเรามองเรามานี่ก็เหมือนเพื่อนคนนึงที่เรามาแบ่งปันแล้วเราก็มาคุยกันสบายๆ”

ดาราหลายคนให้ความไว้วางใจที่จะพูดเรื่องที่ไม่เคยพูดที่ไหนกับเราเป็นที่แรกๆรู้สึกยังไง?
“ทุกคนมีเรื่องราวที่น่าสนใจ เราเชื่อว่ามนุษย์ทุกคนแม้กระทั่งคนที่โดนสัมภาษณ์มาเยอะแล้ว สมมุติมีดาราคนหนึ่งที่ออกมาแล้วทุกรายการเราก็เชื่อว่ามานั่งกับเรามันก็จะมีเรื่องให้คุยอยู่ดี เว้นแต่ว่าเขามีเวลาแค่ 2 นาทีเราก็อาจจะไม่สามารถ ทุกครั้งที่ใครก็ตามมานั่งต่อหน้าเรา เรามีความอยากรู้ไง ก็สามารถถามได้เลย

อย่างมีเรื่องไหนที่ไม่เคยลองมาก่อนมีไหม มันง่ายมากมันไม่ซับซ้อน เราว่าสิ่งที่เราให้กับทุกคนคือให้ใจ เป็นการที่เพื่อนพี่น้องทุกคนที่เข้ามาคุยเขาก็คล้ายๆ ว่าจะเปิดใจกับเราเพราะว่าเราให้ใจ ถ้าไม่ให้ใจเราไม่สามารถเปิดใจคุยกันได้

แล้ว 10 กว่าปีจนมาถึงวันนี้ วิธีการมันก็เปลี่ยนไปเรื่อยๆ สมัยก่อนเราอาจจะไม่ได้ให้ใจมากเท่าวันนี้ เราอาจจะต้องการจี้เพื่อที่จะเอาคำตอบจากคนตอบ มันอาจจะได้คำตอบเพราะเราจี้แต่ว่าเราอาจจะไม่ได้ใจจากแขกรับเชิญหรือเพื่อนๆในวงการ แต่พอเราอยู่ในวงการมาสักพักทุกคนก็เป็นเหมือนเพื่อนกัน

ตอนนี้สำหรับเราจะเป็นดาราหรือไม่เป็นดารา เราให้เกียรติทุกคนเพราะมองว่าทุกคนที่มาคุยกับเรา เขาให้เกียรติที่สูงมากและงานเราก็ต้องให้ใจทุกคน คำตอบคือเราให้ใจกับทุกคนที่มาคุยกับเรา มันไม่มีอะไรที่เป็นสูตรลับหรือมีภาคบังคับว่ามันจะต้องพูดทุกเรื่อง แต่เขาก็พูดเอง

เรารู้สึกว่ามนุษย์เราทุกคนมีเรื่องค้างคาใจหรือเรื่องที่พูดแล้วเขารู้สึกดีขึ้น ไม่มีใครอยากจะเก็บเอาไว้หรอก แต่คงมีอีกหลายเรื่องที่คนในวงการมานั่งต่อหน้าเราเขาก็ไม่ได้เล่าให้เราฟัง บางทีอาจจะไม่ใช่เรื่องที่มันดราม่าก็ได้ บางทีอาจจะเป็นเรื่องง่ายๆ โง่ๆ ใครจะไปคิดล่ะว่ามันจะเป็นแบบนี้ อยู่กับเราเขาอาจจะรู้สึกว่าเขามีพื้นที่ปลอดภัย เราไม่ได้มีแต่เจตนาอะไรเลยที่จะทำให้คนที่คุยกับเรารู้สึกไม่ดีด้วย มันขึ้นอยู่ที่ว่าถ้าใครมาคุยกับเรา นอกจากเราจะให้เขาเป็นตัวตนของเขาแล้ว เราก็สนุกด้วย เราแคร์นะถ้าออกรายการเราแล้ว ได้เป็นตัวของตัวเอง แล้วก็ได้รับความเข้าอกเข้าใจจากคนดู”

เคยสัมภาษณ์ใครแล้วรู้สึกเกร็งบ้างไหม เพราะว่าหน้างานดูชิลตลอด?
“มีนะ คุยกับพิมรี่พายก็เกร็งนะ เราจะเป็นคนที่เกร็งกับคนที่คาแร็กเตอร์ชัด เราคุยกับลิซ่าลิซ่าไม่เกร็ง ลิซ่าน่ารัก หรือระดับฮอลลีวู้ดที่คาแร็กเตอร์ชัด อย่าง เดวิด เบ็กแฮม เราก็เกร็งมากตอนนั้น เราแอบชอบเขาไง มันก็เลยแบบตายแล้วฉันชอบเธอ เธอคือผู้ชายในฝัน เรากำลังสัมภาษณ์ผู้ชายในฝันอยู่ มันก็จะเกร็งคนละแบบ จนถึงทุกวันนี้คุยกับใครก็ยังตื่นเต้น ทุกครั้งที่ไลฟ์ที่คุย ขนาดคุยกับหมอปลายังตื่นเต้นเลย”

แล้วปีนี้วางแผนมีโปรเจ็กต์ใหม่อะไรบ้าง?
“ปีนี้สำหรับเราก็คงจะเดินหน้าต่อไปในการทำรายการเพิ่มขึ้นทาง YouTube Facebook TikTok ก็จะมีการสัมภาษณ์มากขึ้นรวมถึงจะมีนักเล่าเรื่องที่จะเป็นเหมือนกับเราอีกหลายๆคนที่คอลแลปส์ด้วยอยากจะให้ติดตามกันต่อไป เราจะเปิดตัวในอีกไม่ช้า ส่วนตัวอีเวนต์ก็ต้องพักไปก่อน
ที่แน่ๆคือมีผลิตภัณฑ์ บีไวต้า วิตามินผมที่ทำกับคุณหมอมันเลิศมาก

ส่วน wando(วันโด้)ที่สร้างขึ้นมาเพื่อที่จะช่วยแก้ปัญหาของมนุษย์ทั่วไป นอนไม่ได้ขับถ่ายไม่คล่อง น้ำหนักไม่ลด ทั้งหมดทั้งปวงก็เป็นเหมือนแล็บที่เราพัฒนาสินค้าออกมาเรื่อยๆ อย่างตัวแรกที่ออกไป Sleep dee สเปรย์กล่อมนอน ก็ช่วยคนมามาก แค่ฉีดสเปรย์ที่หัวหมอน นอนปุ๊บหลับง่าย

ส่วนตัวที่สอง probica ที่เพิ่งปล่อยไปมันก็เป็นตัวโพรไบโอติก เชื่อไหมว่าโพรไบโอติกจุลินทรีย์ดี มันจะสามารถเปลี่ยนชีวิตเราได้เลย ถ้าระบบขับถ่ายเราดี ลำไส้เราดีชีวิตเราก็จะดีตามไปด้วย
ปีนี้มีโอมิครอน ยังไม่กล้าที่จะอยากอะไรมาหนัก ต้นปีจะเห็นเราเป็นพรีเซ็นเตอร์เยอะ เราคอลแลปส์พาร์ตเนอร์หลายแบรนด์ในการออกสินค้า ไม่ว่าจะเป็นชุดเครื่องนอน กาแฟ ของใช้ในครัวเรือน โปรตีน ระบบขนส่ง ที่กำลังจะออก อย่างน้อยต้นปีนี้เราเป็นพรีเซ็นเตอร์ห้าตัว”

ทิ้งท้ายความรัก?
“ปีนี้ก็เข้าสู่ปีที่ 15 แล้วเราก็ได้มีโอกาสรู้จักคบกันมามันหวานกว่าเดิม รักมากกว่าเดิมตื่นมาแล้วเราพูดประโยคนี้ทุกวันเลย I Love You so much เราอยู่ด้วยความเข้าใจให้อภัย ที่พูดมาไม่ใช่ว่าไม่มีปากเสียงกันนะ มันก็มีเรื่อยๆ แต่ว่าทำไมยิ่งอยู่ยิ่งรู้สึกว่าคนนี้เป็นคู่ชีวิตของเราจริงๆ เป็นคู่ชีวิตที่อยู่เคียงข้างเราแล้วเรารู้เลยว่าเราคงไม่มีวันนี้แน่นอน เราคงไม่มีพลังความแข็งแกร่งในชีวิตถ้าเกิดเราขาดเขาไป เราก็ยังเติมเต็มความหวานกันตลอดเวลา พาเขาไปเที่ยว

ล่าสุดก็ไปเสม็ดมาก็เหมือนเป็นการออกเดตใหม่อีกครั้ง จริงๆไม่ใช่ว่าไปเที่ยวแล้วมันจะจู๋จี๋กัน นะเราก็จู๋จี๋กันทุกเช้า ให้ความอบอุ่นกันและกัน มันก็เหมือนเป็นเพื่อนคู่คิดของเรา เพื่อนรัก เราก็จะคบกันไปเรื่อยๆจนกว่าประเทศนี้ออกกฎหมายพิเศษไม่ว่าจะเป็น พรบ.คู่ชีวิต หรือว่าสมรสเท่าเทียม เราก็รอคอยให้มันเกิดขึ้นในอนาคตอันใกล้”

ระดับความคลั่งรัก?
“บ้าคลั่งรักดีกว่า บอกเลย ถ้าเขาให้จัดการประกวดการบ้าคลั่งรักพี่อยู่แถวหน้า”

 

แท็กที่เกี่ยวข้อง

เรื่องอื่นที่น่าสนใจ