เปิดเคล็ดลับอายุยืน ชายวัย 93 กินผลไม้ชนิดนี้ทุกเช้า ที่ไทยหาง่าย แถมราคาถูก

Home » เปิดเคล็ดลับอายุยืน ชายวัย 93 กินผลไม้ชนิดนี้ทุกเช้า ที่ไทยหาง่าย แถมราคาถูก
เปิดเคล็ดลับอายุยืน ชายวัย 93 กินผลไม้ชนิดนี้ทุกเช้า ที่ไทยหาง่าย แถมราคาถูก

เปิดเคล็ดลับอายุยืน ผู้ก่อตั้งบริษัทระดับโลก วัย 93 ปี แค่กินผลไม้ชนิดนี้ทุกเช้า ดีต่อทั้งน้ำตาลในเลือดและหัวใจ

มอร์ริส จาง ผู้ก่อตั้งบริษัท Taiwan Semiconductor Manufacturing Co (TSMC) คือผู้วางรากฐานให้กับโรงงานผลิตชิปเซมิคอนดักเตอร์แห่งแรกและใหญ่ที่สุดในโลก

แม้จะอายุ 93 ปีแล้ว แต่เขายังคงเป็นที่ชื่นชม ไม่เพียงเพราะความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ แต่ยังรวมถึงสุขภาพที่แข็งแรงและวินัยในการใช้ชีวิต แม้กาลเวลาจะเปลี่ยนไป แต่สายตาของเขายังคงเฉียบแหลม ความคิดยังคงเฉียบคม และสติปัญญายังคงแจ่มใส

ท่ามกลางวิสัยทัศน์อันกว้างไกลและความสำเร็จทางธุรกิจมากมาย หลายคนต่างสงสัยว่าอะไรคือเคล็ดลับที่ทำให้เขาสามารถทำงานอย่างต่อเนื่องได้เป็นเวลาหลายทศวรรษ ภายใต้ภาระงานมหาศาลและแรงกดดันจากการตัดสินใจครั้งสำคัญ

อะไรคือกุญแจสู่สุขภาพที่แข็งแรงและอายุยืนของเขา?

นอกเหนือจากหลักการสำคัญอย่างการออกกำลังกายเป็นประจำ การรับประทานอาหารที่สมดุล และการบริหารเวลาการทำงานและการพักผ่อนอย่างมีระบบ ครอบครัวยังเผยว่า มอร์ริส จาง มีนิสัยกิน “มะละกอสุก” เป็นอาหารเช้าทุกวัน

Jess Loiterton

มะละกอ อัดแน่นด้วยสารอาหารสำคัญ

มะละกอเป็นผลไม้ที่คุ้นเคยและมีประโยชน์ต่อสุขภาพอย่างมาก แคลอรีส่วนใหญ่ในมะละกอมาจากคาร์โบไฮเดรต โดยมะละกอ 145 กรัม ให้พลังงานประมาณ 62 แคลอรี ประกอบด้วยคาร์โบไฮเดรต 16 กรัม ซึ่งรวมถึงใยอาหาร 2.5 กรัม และน้ำตาลธรรมชาติประมาณ 11 กรัม นอกจากนี้ มะละกอยังมีค่าดัชนีน้ำตาล (GI) อยู่ที่ 60 และค่าภาระน้ำตาล (GL) ประมาณ 9 ที่สำคัญคือ มะละกอมีไขมันต่ำมาก โดยมีไม่ถึง 1 กรัมต่อหนึ่งหน่วยบริโภค

นอกจากเป็นแหล่งพลังงานที่ดีแล้ว มะละกอยังอุดมไปด้วยวิตามินซี โดยในมะละกอ 145 กรัม มีวิตามินซีสูงถึง 88.3 มิลลิกรัม ซึ่งเพียงพอสำหรับความต้องการต่อวันของผู้ใหญ่ (75-90 มิลลิกรัม) อีกทั้งยังอุดมไปด้วยวิตามินเอ และโดดเด่นด้วยไลโคปีน แคโรทีนอยด์ ซึ่งเป็นสารสำคัญที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพ

ประโยชน์ของมะละกอต่อสุขภาพ

ด้วยคุณค่าทางโภชนาการที่หลากหลาย มะละกอไม่เพียงแต่ให้พลังงาน แต่ยังช่วยเสริมสร้างและปกป้องสุขภาพโดยรวม โดยเฉพาะวิตามินที่มีอยู่ในมะละกอ ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการต้านอนุมูลอิสระ ช่วยให้เซลล์แข็งแรง

ช่วยให้ผิวสวย เปล่งปลั่งขึ้น

วิตามินซีในมะละกอมีส่วนช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ซึ่งจำเป็นต่อความยืดหยุ่นและการฟื้นฟูของผิว ด้วยปริมาณวิตามินซีที่สูง มะละกอช่วยชะลอริ้วรอยก่อนวัยและเสริมสร้างสุขภาพผิว นอกจากนี้ โพแทสเซียมที่มีอยู่ยังช่วยเติมความชุ่มชื้น ลดปัญหาผิวแห้งและหมองคล้ำ

การผสานระหว่างวิตามิน A และ C ในมะละกอ ทำหน้าที่เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยลดผลกระทบจากอนุมูลอิสระ ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญของริ้วรอยก่อนวัย

บำรุงสายตา

มะละกอเป็นแหล่งของ เบตาแคโรทีน ซึ่งเป็นรูปแบบหนึ่งของวิตามิน A ที่ช่วยบำรุงสายตาให้แข็งแรง งานวิจัยพบว่า ร่างกายสามารถดูดซึมเบตาแคโรทีนจากมะละกอได้ดีกว่าแครอทและมะเขือเทศถึง 3 เท่า

สำหรับผู้ที่มีความเสี่ยงต่อภาวะจอประสาทตาเสื่อมจากอายุที่เพิ่มขึ้น การได้รับเบตาแคโรทีนอย่างเพียงพอสามารถช่วยชะลอการเสื่อมของดวงตาได้ การเลือกรับประทานอาหารที่อุดมไปด้วยวิตามิน A อย่างมะละกอจึงเป็นทางเลือกที่ปลอดภัยและมีประสิทธิภาพในการดูแลสายตา

ปรับสมดุลลำไส้และช่วยป้องกันมะเร็ง

เช่นเดียวกับผักและผลไม้หลายชนิด มะละกอมีใยอาหารสูง ช่วยกระตุ้นระบบย่อยอาหารและปรับสมดุลการทำงานของลำไส้ นอกจากนี้ยังมีเอนไซม์ ปาเปน (Papain) ที่ช่วยย่อยโปรตีน ทำให้ร่างกายดูดซึมสารอาหารได้ดีขึ้น

มีการศึกษาพบว่า ปาเปน อาจช่วยให้ผู้ที่แพ้กลูเตน (แต่ไม่ได้เป็นโรคเซลิแอค) สามารถย่อยกลูเตนได้ดีขึ้นเมื่อรับประทานร่วมกับเอนไซม์จากมะละกอและจุลินทรีย์ อีกทั้งยังช่วยให้ระบบย่อยอาหารทำงานดีขึ้นโดยไม่ก่อให้เกิดผลข้างเคียง

นอกจากนี้ มะละกอยังอุดมไปด้วย โฟเลต เซลลูโลส ไฟเบอร์ และสารต้านอนุมูลอิสระ ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการป้องกันมะเร็งลำไส้ใหญ่และช่วยลดปัญหาท้องผูก

ดีต่อหัวใจ ควบคุมน้ำตาล และช่วยรักษาน้ำหนัก

ไฟเบอร์ในมะละกอไม่เพียงช่วยระบบย่อยอาหาร แต่ยังมีประโยชน์ต่อหัวใจ โดยช่วยควบคุมระดับคอเลสเตอรอลในร่างกาย นอกจากนี้ มะละกอยังอุดมไปด้วยแร่ธาตุสำคัญ เช่น โพแทสเซียม แมกนีเซียม และกรดแพนโทธีนิก ซึ่งล้วนมีบทบาทในการรักษาสุขภาพหัวใจให้แข็งแรง

นอกจากนี้ มะละกอยังช่วยให้อิ่มนาน จึงมีส่วนช่วยควบคุมน้ำหนัก ซึ่งส่งผลดีต่อการลดความเสี่ยงของโรคหัวใจและปัญหาน้ำตาลในเลือดที่เกี่ยวข้องกับโรคอ้วน

ข้อควรระวังในการรับประทานมะละกอบ่อยๆ

ผู้เชี่ยวชาญแนะนำว่า ผู้ที่มีปัญหาเกี่ยวกับกระเพาะอาหารหรือกำลังอยู่ในภาวะหิว ไม่ควรรับประทานมะละกอดิบ เนื่องจากเนื้อสัมผัสที่แข็งและแห้ง อาจทำให้กระเพาะอาหารต้องทำงานหนักขึ้น ส่งผลให้รู้สึกไม่สบายหรือเกิดอาการปวด

อย่างไรก็ตาม ผู้ที่มีปัญหากระเพาะอาหารสามารถรับประทานมะละกอสุกในรูปของสมูทตี้หลังมื้ออาหาร เพื่อหลีกเลี่ยงการระคายเคือง เนื่องจากมะละกอสุกมีเนื้อนุ่ม ย่อยง่าย ไม่เพิ่มภาระให้กระเพาะอาหาร อีกทั้งยังช่วยบรรเทาอาการระคายเคืองและสมานแผลในกระเพาะอาหาร นอกจากนี้ มะละกอสุกยังอุดมไปด้วยวิตามินและแร่ธาตุที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกาย

แท็กที่เกี่ยวข้อง

เรื่องอื่นที่น่าสนใจ