เปิดผลวิเคราะห์โพลเลือกตั้ง มติชนxเดลินิวส์ รอบ 2 ก้าวไกล-พรรคร่วมฝ่านค้านแรง

Home » เปิดผลวิเคราะห์โพลเลือกตั้ง มติชนxเดลินิวส์ รอบ 2 ก้าวไกล-พรรคร่วมฝ่านค้านแรง



เปิดผลวิเคราะห์โพลเลือกตั้ง มติชนxเดลินิวส์ รอบ 2 ก้าวไกล-พรรคร่วมฝ่านค้านแรง เพื่อไทยครองส.ส.เขตภาคเหนือ-อีสาน เพศชายมีสัดส่วนโหวตมากกว่าเพศอื่น

เปิดผลวิเคราะห์ผลโพลมติชนxเดลินิวส์รอบ2

วันที่ 3 พ.ค.66 วิทยาลัยนานาชาติปรีดี พนมยงค์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ประกอบด้วย ศ.ดร.ชาญวิทย์ เกษตรศิริ รศ.ดร.ธำรงศักดิ์ เพชรเลิศอนันต์ ผศ.ดร.พีระ เจริญวัฒนนุกูล อาจารย์เคท ครั้งพิบูลย์ นายปรีชา โพธิ รองคณบดีฯ และ นายอัครพงษ์ ค่ำคูณ คณบดี ในฐานะหัวหน้าทีมวิเคราะห์ผลโพล จากผลโพลเลือกตั้ง 66 “มติชนxเดลินิวส์” ครั้งที่ 2 สำรวจระหว่าง 22-28 เมษายน 2566 เป็นเวลา 7 วัน ผ่านวิธี vote ออนไลน์ แบบไม่ซ้ำ IP Address

ซึ่งมีบุคคลผู้มีชื่อเสียง ดารานักแสดง และผู้สนใจการเมืองจากหลากหลายวงการ เข้ามาตอบแบบสอบถามอย่างกว้างขวางทั้งสิ้น 78,583 คน ในจำนวนนี้มี พล.อ.กประยุทธ์ จันทร์โอชา ร่วมโหวตด้วย คำถาม 4 ข้อ คือ เลือก ส.ส.เขตจากพรรคใด? เลือกปาร์ตี้ลิสต์พรรคใด? สนับสนุนใครเป็นนายกรัฐมนตรี? และ ส.ว.ควรโหวตเลือกแคนดิเดตนายกฯ จากพรรคใด?

ทั้งนี้ ผู้โหวตไม่ต้องระบุชื่อตนเอง แต่ต้องตอบข้อมูลส่วนบุคคล ได้แก่ ภูมิลำเนา เพศ อายุ การศึกษา อาชีพ และรายได้ ทั้งนี้ โพลครั้งที่ 2 เพิ่มเติมตัวเลือกด้านอาชีพ ได้แก่ เกษตรกร และ รับจ้างทั่วไป

เพศชายมีสัดส่วนโหวตมากกว่าเพศอื่น

ทีมนักวิชาการจึงอ่านผลตามข้อมูลจากตัวเลขตามผลโพลเท่านั้น โปรดระลึกว่า ผลของโพลนี้ไม่ได้มาจากการกำหนดกลุ่มตัวอย่าง (Sample) ตามหลักการของการทำวิจัยเชิงปริมาณ (Quantitative Research) ทั่วไป แต่มาจากกลุ่มตัวอย่างที่มีความตื่นตัวทางการเมือง (Active Citizen) และเข้าถึงอินเตอร์เน็ตได้ อย่างไรก็ตาม ปริมาณของกลุ่มตัวอย่างที่เดลินิวส์และมติชนได้มามีความคลาดเคลื่อนอยู่ที่ประมาณ 0.35% (ซึ่งค่ามาตรฐานไม่ควรเกิน 3%) และมีระดับความเชื่อมั่น (Confidence Level) อยู่ที่ 95% (คำนวณโดยใช้สูตร https://bit.ly/3L87wXr)

เพศชาย ยังคงมีสัดส่วนมากกว่าเพศอื่น แต่โพลครั้งที่ 2 นี้พบว่า เพศหญิง มีสัดส่วนเพิ่มมากขึ้นจากเดิม 29.71% เป็น 34.62% ในมิติของอายุ Generation X (42-57 ปี) มีมากที่สุด คือ 31.48% และครึ่งหนึ่งมีการศึกษาในระดับปริญญาตรี ทั้งนี้ ในโพลครั้งที่ 1 กลุ่มข้าราชการมีส่วนร่วมมากที่สุดคิด 24.27% แต่โพลครั้งที่ 2 กลุ่มพนักงานบริษัท มีมากที่สุดถึง 25.01% รวมทั้งเกษตรกร 3.95% และรับจ้างทั่วไป 7.57% ในมิติของระดับรายได้มีสัดส่วนเท่าๆ กัน โดยกลุ่มรายได้สูงคือ 50,001 บาทขึ้นไป มีมากสุดที่ 23.74%

พิธาแรงไม่ตก คนกรุง-ตจว.หนุนนั่งนายกฯ

คำถามที่ว่า จะสนับสนุนใครเป็นนายกรัฐมนตรี? ผลโพลของคนกรุงเทพฯ โหวตให้ 1.นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ 52.00% เพิ่มขึ้นจากเดิมที่เคยได้ 28.48% หรือเกือบสองเท่า 2.นายเศรษฐา ทวีสิน จากเดิมอยู่อันดับ 4 ที่ 16.10% เลื่อนขึ้นมาเป็นอันดับ 2 แต่สัดส่วนลดลงเป็น 15.65% 3.น.ส.แพทองธาร ชินวัตร จากเดิมอยู่อันดับ 2 ที่ 20.01% ลดลงไปอยู่อันดับ 3 ที่ 13.37% ในขณะที่ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา จากเดิมเคยเป็นอันดับ 3 ที่ 18.04% ตกไปอยู่อันดับ 4 ที่ 8.03% ความน่าสนใจ คือ พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ มีอันดับเพิ่มขึ้น จากเดิมอยู่อันดับ 10 ที่ 1.13% เลื่อนขึ้นมาเป็นอันดับ 6 ที่ 2.37% หรือ เพิ่มขึ้นมากกว่าสองเท่าตัว

ผลโหวตนายกรัฐมนตรีของคนต่างจังหวัด คือ 1.นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ 48.09% เพิ่มขึ้นจากเดิมที่เคยได้ 30.33% 2.น.ส.แพทองธาร ชินวัตร ลดลงจากเดิม 26.38% เป็น 21.96% 3.นายเศรษฐา ทวีสิน ลดลงจากเดิม 17.27% เป็น 15.50% ในส่วนของ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา และ พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ อยู่อันดับ 4 ที่ 5.95% และอันดับ 5 ที่ 2.35% ตามลำดับ

แต่หากแยกพิจารณาเป็นรายภาค คือ ภาคกลาง ภาคใต้ ภาคเหนือ ภาคอีสาน พบว่าอันดับ 1 ของทุกภูมิภาคคือ นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ตามมาด้วย น.ส.แพทองธาร ชินวัตร อันดับ 2 และ นายเศรษฐา ทวีสิน อันดับ 3 ยกเว้นภาคใต้ ที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ยังคงเป็นอันดับ 3 ที่ 11.16% มากกว่านายเศรษฐา ทวีสิน ซึ่งได้อันดับ 4 ที่ 7.40%

ก้าวไกลกระแสดี คนโหวตเลือกส.ส.เขตพุ่ง

สำหรับ ส.ส.เขต 3 อันดับแรกของคนกรุงเทพฯ ได้แก่ พรรคก้าวไกล 51.71% พรรคเพื่อไทย 29.30% และ พรรครวมไทยสร้างชาติ 7.28% โดยสัดส่วนของ ส.ส.เขตพรรคก้าวไกล มีมากเกินกว่าครึ่งหนึ่งของจำนวน ส.ส.เขตจากทุกพรรครวมกัน อย่างไรก็ตาม กรุงเทพมหานคร ยังคงเป็นสนามเลือกตั้งของ 3 พรรคใหญ่ดังกล่าว แต่หากนำสัดส่วนของพรรคเพื่อไทยและพรรคก้าวไกลมารวมกันจะมีสูงถึง 81.01%

เช่นเดียวกับคนต่างจังหวัดโหวตให้ ส.ส.เขต 3 อันดับแรก ได้แก่ พรรคก้าวไกล 46.55% พรรคเพื่อไทย 38.26% และ พรรครวมไทยสร้างชาติ 5.17% โดยสัดส่วน ส.ส.เขตของสองพรรคแรกรวมกันจะมีมากถึง 84.81% ซึ่งเป็นสัดส่วนที่น่ากังวลสำหรับ “พรรคร่วมรัฐบาลเดิม” เช่นเดียวกับผลโพลในส่วนปาร์ตี้ลิสต์พรรคการเมืองของทั้งกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด เป็นไปในทางเดียวกัน คือ 1.พรรคก้าวไกล 2.พรรคเพื่อไทย และ 3.พรรครวมไทยสร้างชาติ ทั้งนี้ ปาร์ตี้ลิสต์ของพรรคอันดับ 1 และ 2 ในกรุงเทพฯ รวมกันแล้วอยู่ที่ 80.77% และ ในต่างจังหวัดรวมกันแล้วอยู่ที่ 85.16%

เพื่อไทยครองส.ส.เขตภาคเหนือ-อีสาน

หากพิจารณาเป็นรายภูมิภาคจะพบว่า ส.ส.เขตพรรคก้าวไกล มีสัดส่วนมากที่สุดในภาคกลาง และ ภาคใต้ ในขณะที่ ส.ส.เขตพรรคเพื่อไทย มีสัดส่วนมากที่สุดในภาคเหนือและภาคอีสาน ตามมาด้วย ส.ส.เขตพรรครวมไทยสร้างชาติ อยู่อันดับที่ 3 ในทุกภูมิภาค แต่หากดูผลโพลในส่วนของปาร์ตี้ลิสต์ จะพบว่าพรรคก้าวไกลมีสัดส่วนมากที่สุดในทุกภูมิภาค ยกเว้นภาคอีสานที่ปาร์ตี้ลิสต์พรรคเพื่อไทยมีสัดส่วนมากที่สุด และปาร์ตี้ลิสต์ของพรรครวมไทยสร้างชาติเป็นอันดับที่ 3 ในทุกภูมิภาค

นอกจากนี้ ทีมนักวิชาการเคยตั้งข้อสังเกตต่อความนิยมของพรรคประชาธิปัตย์ในพื้นที่ภาคใต้ที่มีเพียง 6.01% จากผลโพลครั้งที่ 1 และผลโพลครั้งที่ 2 นี้แสดงให้เห็นว่าพรรคประชาธิปัตย์ในภาคใต้มีสัดส่วนลดลง คือ ส.ส.เขต 4.24% และ ปาร์ตี้ลิสต์ 3.25% ซึ่งน้อยกว่าสัดส่วนรวมของ พรรครวมไทยสร้างชาติ (ส.ส.เขต 5.88% และ ปาร์ตี้ลิสต์ 9.05%) และ พรรคพลังประชารัฐ (ส.ส.เขต 2.64% และ ปาร์ตี้ลิสต์ 5.42%) หรือ ห่างกันมากกว่า 3 เท่าตัว

เกษตรกรโหวตเพื่อไทย รับจ้างทั่วไปเลือกก้าวไกล

ความน่าสนใจของโพลครั้งที่ 2 คือ กลุ่มเกษตรกร โหวตให้ทั้ง ส.ส.เขต และ ปาร์ตี้ลิสต์จากพรรคเพื่อไทยมากที่สุด 45.48% และ 43.51% ตามลำดับ ในขณะที่กลุ่มรับจ้างทั่วไปโหวตให้ ส.ส.เขตพรรคก้าวไกล 40.28% และปาร์ตี้ลิสต์พรรคก้าวไกล 42.13%

ในส่วนของนายกรัฐมนตรี กลุ่มเกษตรกรและรับจ้างทั่วไปโหวตให้ 1.นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ 2.น.ส.แพทองธาร ชินวัตร และ 3.นายเศรษฐา ทวีสิน (ดูตัวเลขในตาราง) ในขณะที่กลุ่มข้าราชการและพนักงานรัฐวิสาหกิจโหวตให้ 1.นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ 41.55% 2.นายเศรษฐา ทวีสิน 20.24% 3.น.ส.แพทองธาร ชินวัตร 20.21% และ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา อยู่อันดับ 4 ที่ 7.60% ลดลงจากเดิมอันดับ 3 ที่ 17.87% ตอกย้ำว่ากลุ่มข้าราชการและพนักงานรัฐวิสาหกิจต้องการความเปลี่ยนแปลงโดยเฉพาะผู้นำที่เป็นคนรุ่นใหม่

โพลครั้งที่ 2 แสดงให้เห็นชัดเจนว่า ทุกกลุ่มรายได้โหวตให้ ส.ส.เขต และ ปาร์ตี้ลิสต์ จากพรรคก้าวไกลและพรรคเพื่อไทย โดยมีสัดส่วนรวมกันแล้วมากกว่า 80% ของทุกกลุ่มตัวอย่าง และโหวตให้ นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร และ นายเศรษฐา ทวีสิน เป็นนายกรัฐมนตรีมากที่สุด 3 ลำดับแรก แสดงถึงความนิยมต่อนโยบายการแก้ปัญหาทางเศรษฐกิจของทั้งสองพรรคนี้

สรุปคนแห่เลือกพรรคร่วมฝ่ายค้านเดิม

โดยสรุปแล้ว โพลครั้งที่ 2 แสดงให้เห็นทิศทางการเมืองที่มีต่อ ส.ส.เขตจาก “พรรคร่วมฝ่ายค้านเดิม” คือ พรรคเพื่อไทย และ พรรคก้าวไกล มีสัดส่วนรวมกันที่ 83.75% เปรียบเทียบกับ ส.ส.เขตจาก “พรรคร่วมรัฐบาลเดิม” คือ พรรครวมไทยสร้างชาติ พรรคพลังประชารัฐ พรรคประชาธิปัตย์ และพรรคภูมิใจไทย มีสัดส่วนรวมกันอยู่ที่ 10.64% หรือห่างกันถึงเกือบ 8 เท่าตัว และประชาชนที่ร่วมตอบแบบสอบถามเป็นกลุ่มคนที่ตั้งใจเข้ามาโหวต เพื่อแสดงความต้องการของตน

ซึ่งเป็นไปในทิศทางเดียวกับปาร์ตี้ลิสต์ของ “พรรคร่วมฝ่ายค้านเดิม” ที่มีสัดส่วนรวมกันที่ 84.95% จากพรรคก้าวไกล พรรคเพื่อไทย และพรรคเสรีรวมไทย ในขณะที่ “พรรคร่วมรัฐบาลเดิม” มีสัดส่วนที่ 10.26% จากพรรครวมไทยสร้างชาติ พรรคพลังประชารัฐ พรรคประชาธิปัตย์ และพรรคภูมิใจไทย

พรรคร่วมฝ่ายค้านเดิมได้ส.ส.เขต355คน

หากจะทดลองแปลงตัวเลขเหล่านี้เป็นสัดส่วนจำนวน ส.ส.เขต จะพบว่า “พรรคร่วมฝ่ายค้านเดิม” จะได้ ส.ส.เขต 335 คน และ “พรรคร่วมรัฐบาลเดิม” จะได้ ส.ส.เขต 42 คน จากทั้งหมด 400 คน ส่วนที่เหลืออีก 23 คน เป็นสัดส่วนของพรรคอื่นๆ และผู้ที่ยังไม่ตัดสินใจเลือกพรรคการเมืองใด ทั้งนี้ หากคำนวนสัดส่วนของปาร์ตี้ลิสต์จะพบว่า “พรรคร่วมฝ่ายค้านเดิม” จะได้มากถึง 84 ที่นั่ง จาก 100 ที่นั่ง

รวมความแล้ว หากผลการเลือกตั้งในวันที่ 14 พฤษภาคม 2566 เป็นไปตามผลโพล “มติชนxเดลินิวส์” ก็จะทำให้ “พรรคร่วมฝ่ายค้านเดิม” และพรรคอื่นๆ มีแนวโน้มที่จะได้ ส.ส. ในสภาผู้แทนราษฎรรวมกันแบบแลนสไลด์ เป็นไปตามคำถามข้อที่ 4 ของผลโพล 82.54% ที่ต้องการให้ 250 ส.ว. โหวตเลือกแคนดิเดตนายกฯ จากพรรคที่ได้ ส.ส. มากที่สุด ตามเจตจำนงของประชาชนต่อไป

เงื่อนไขและข้อตกลงในการทำโพล
1.สำรวจจากกลุ่มตัวอย่างจำนวน 78,583 คน เก็บข้อมูลจากผู้ติดตามของมติชนและเดลินิวส์ สำรวจระหว่างวันที่ 22 – 28 เมษายน 2566 เป็นเวลา 7 วัน
2.โดยวิธีการ vote ออนไลน์ แบบไม่ซ้ำ IP Address
3.ผู้มีชื่อเสียง คนดัง นักการเมือง มีส่วนร่วมทำแบบสอบถาม รวมทั้ง พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา
4.คำถาม 4 ข้อ คือ
4.1 ท่านจะเลือกผู้สมัคร ส.ส.เขตจากพรรคการเมืองใด ในการเลือกตั้ง 2566 นี้ ?
4.2 ท่านจะเลือกปาร์ตี้ลิสต์พรรคใด ในการเลือกตั้ง 2566 นี้ ?
4.3 ท่านจะสนับสนุนใครเป็นนายกรัฐมนตรี ในการเลือกตั้ง 2566 นี้ ?
4.4 ส.ว.ควรโหวตเลือกแคนดิเดตนายกฯ จากพรรคที่ได้ ส.ส. มากที่สุดหรือไม่ ?
5. มีการสอบถามข้อมูลส่วนบุคคลโดยไม่ระบุเพศชื่อ ได้แก่ ภูมิลำเนา เพศ อายุ การศึกษา อาชีพ และ รายได้ โดยโพลครั้งที่ 2 ให้ระบุอาชีพของผู้ตอบแบบสอบถามเพิ่มเติม คือ เกษตรกร และ รับจ้างทั่วไป
6.จำนวนกลุ่มตัวอย่างที่เดลินิวส์และมติชนได้ทำการสำรวจครั้งที่ 2 มีความคลาดเคลื่อนเพียงประมาณ 0.35% (ซึ่งค่ามาตรฐานไม่ควรเกิน 3%) และมีระดับความเชื่อมั่น (Confidence Level) ที่ 95% ซึ่งเพียงพอต่อการอธิบายความน่าเชื่อถือของโพล (คำนวณโดยใช้สูตร https://bit.ly/3L87wXr)

1.1 ผลโพลรอบ 2 จึงต้องแยกอธิบายกลุ่มตัวอย่างให้ชัดเจน ระหว่าง กทม. กับ ตจว. เนื่องจากสัดส่วนของกลุ่มตัวอย่างที่ร่วมตอบแบบสอบถามในครั้งนี้มีจำนวนต่างกันมากเกือบสามเท่าตัว
1.2 เพศชายมีส่วนร่วมในการตอบแบบสอบถามมากกว่าเพศอื่น ครั้งที่ 1 มี 67.15% ครั้งที่ 2 มี 62.57% ยังคงมากที่สุด (มากกว่า 3 ใน 5 คน) โดยการทำโพลครั้งที่ 2 พบว่า เพศหญิงมีส่วนร่วมมากขึ้นจาก 29.71% เป็น 34.62% และ ผู้ไม่ระบุเพศเพศยังคงมีส่วนร่วมในจำนวนที่มากขึ้นนิดหน่อย คือ จาก 2.40% เป็น 2.81%
1.3 Generation X (42-57 ปี) มีส่วนร่วมมากที่สุด คือ ครั้งที่ 1 มี 34.82% และครั้งที่ 2 มี 31.48% หรือ เกือบ 2 ใน 5 คน นั่นเอง
1.4 ครึ่งหนึ่งมีการศึกษาในระดับปริญญาตรี ทั้งครั้งที่ 1 และ 2 คือ 49.51% และ 51.09% ตามลำดับ
1.5 ในการทำสำรวจครั้งที่ 1 นั้น ข้าราชการมีส่วนร่วมมากที่สุดคิดเป็นร้อยละ 24.27 หรือเกือบ 1 ใน 4 ของผู้ตอบแบบสอบถาม แต่ในครั้งที่ 2 นี้ผู้เข้ามาตอบแบบสำรวจมากที่สุดกลายเป็นกลุ่มพนักงานบริษัทมากถึง 25.01% และยังมี เกษตรกร 3.95% และรับจ้างทั่วไป 7.57%
1.6 ผู้ที่มีรายได้สูงคือ 50,001 บาทขึ้นไป ยังคงเป็นกลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่ในการสำรวจครั้งนี้ หรือคิดเป็น 23.74% เท่าๆ กับครั้งที่ 1 คือ 25.63% หรือ มากกว่า 1 ใน 4 ของทั้งหมด โดยกลุ่มรายได้กลุ่มอื่นๆ มีจำนวนเท่าๆ กันคือ 18.54% 20.83% 17.40% และ 19.49% ตามลำดับ

 

แท็กที่เกี่ยวข้อง

เรื่องอื่นที่น่าสนใจ