เมื่อวันที่ 2 ต.ค. 67 พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ รรท.ผบ.ตร. พร้อมเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องร่วม แถลงข่าวความคืบหน้ากรณีอุบัติเหตุรถบัสนักเรียนเกิดเพลิงไหม้ ณ ห้องประชุมอมรวิวัฒน์ อาคารอเนกประสงค์ ตำรวจภูธรภาค 1
พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ กล่าวว่า ก่อนแถลงตนเองได้เข้าพบนายกรัฐมนตรีเพื่อรายงานความคืบหน้าด้านตํารวจให้ทราบร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพร้อมหารือร่วมกันถึงแนวทางปฏิบัติ โดยจะมุ่งเน้นไปที่นักเรียนและนักศึกษาที่จะเดินทางเป็นหมู่คณะ เช่น ทัศนศึกษา ซึ่งส่วนตัวมองว่าจําเป็นและเป็นการเปิดมุมมองให้กับเด็กๆ แต่สิ่งสําคัญคือมาตรการดูแลและป้องกันเหตุฉุกเฉิน จากการหารือเห็นตรงกันว่าควรมีการตรวจสภาพรถและซักซ่อมเหตุฉุกเฉินก่อนเดินทางรวมถึงบังคับให้รถ 1 คัน มีคนขับ 2 คน และพนักงานประจํารถอีก 1 คน และประสานให้ตํารวจทางหลวงนําขบวนตลอดจนมีการตรวจเช็คระหว่างเส้นทางตามความเหมาะสมของระยะทาง
ขณะที่ นายเสกสม อัครพันธุ์ รองอธิบดีกรมการขนส่งทางบก ฝ่ายปฎิบัติการ กล่าวว่า ทางรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม ได้สั่งการให้กรมการขนส่งทางบกเรียกรถโดยสารสาธารณะทั้งประจําทางและไม่ประจําทางที่ใช้เชื้อเพลิง CNG ทั้งหมดเข้ารับการตรวจสภาพกว่า 13,000 คัน พร้อมบูรณาการร่วมกับกระทรวงศึกษาธิการและสถานศึกษาทั่วประเทศในกรณีจะนํารถเช่ามาใช้บริการขนส่งนักเรียนและนักศึกษา
- ด่วน! คนร้ายยังลอยนวล หลังใช้อาวุธสงคราม ยิงถล่มเก๋ง ดับ 1 สาหัส 3
- เตรียมเคลื่อนย้าย! ผู้เสียชีวิต 23 ราย เหตุไฟไหม้รถบัส จัดพิธีเพลิงศพที่ รร.
- สดุดี! 3 คุณครู ผู้เสียสละ เหตุไฟไหม้รถบัส ปฏิบัติหน้าที่ จนนาทีสุดท้าย
โดยประสานขนส่งจังหวัดเพื่อตรวจสอบความปลอดภัยตลอดจนให้คนขับรถและพนักงานเข้าอบรมหลักสูตรเผชิญเหตุและให้ผู้ประกอบการแนะนําข้อมูลและแนวทางการเผชิญเหตุฉุกเฉินลักษณะคล้ายกับสายการบินทุกครั้งก่อนเดินทาง
ในส่วนของความเร็วเบื้องต้นจากการตรวจสอบร่วมกับ พฐ. พบว่าความเร็วของรถคันเกิดเหตุอยู่ที่ 80 กิโลเมตรต่อชั่วโมง อย่างไรก็ตามจะต้องรอผลการตรวจสอบ GPS อย่างละเอียดอีกครั้งรวมถึงกรณีขออนุญาตติดถังก๊าซ เบื้องต้นพบขอเพียง 6 ถัง แต่จากการตรวจสอบพบจํานวน 11 ถัง ส่วนที่เหลือ 5 ถังไม่อยู่ในรายการจดแจ้งกับเจ้าหน้าที่ ส่วนรายละเอียดอื่นๆ จะต้องตรวจสอบอย่างละเอียดทางนิติวิทยาศาสตร์ต่อไป หากพบว่ามีบุคคลหรือบริษัทใดเกี่ยวข้อง หรือมีส่วนในการกระทำความผิด สำนักงานตำรวจแห่งชาติจะดำเนินคดีอย่างถึงที่สุด
ทั้งนี้ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ ยืนยันว่าผลการตรวจและพยานหลักฐานทุกอย่างจะรวมอยู่ในสํานวน ขอให้มั่นใจว่าตํารวจจะดําเนินคดีกับผู้เกี่ยวข้องทั้งหมดไม่มีการช่วยเหลือใดๆทั้งสิ้น