เศรษฐกิจรายงาน
เปิดผลกระทบราคาน้ำมัน2565 วัดใจรัฐ‘อุ้มต่อ’หรือ‘พอแค่นี้’
“หากไม่เฉลี่ยทยอยปรับขึ้นแบบขั้นบันไดค่าเอฟทีต้องปรับเพิ่มขึ้น 22.50 สตางค์ เป็น 7.18 สตางค์ ส่งผลกระทบต่อผู้ใช้ไฟฟ้าในระยะสั้นเป็นอย่างมาก โดย กกพ.จะพิจารณาทยอยปรับค่าเอฟทีตามค่าจริงในรอบต่อๆ ไป”
การฟื้นตัวทางเศรษฐกิจในหลายประเทศทั่วโลก ทำให้ความต้องการใช้น้ำมันปรับตัวสูงขึ้น แต่ยังคงมีความเสี่ยงจากการแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19 ที่อาจเกิดการกลายพันธุ์และกลับมาระบาดอีกครั้ง
สะท้อนอุปสงค์ในตลาดมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ขณะที่อุปทานมีข้อจำกัดเนื่องจากกลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมันรายใหญ่และประเทศพันธมิตร (โอเปกพลัส) ยังคงกำลังการผลิตน้ำมันดิบอยู่ที่ 4 แสนบาร์เรล/วัน ตามแผนเดิม
กอปรกับความท้าทายในการดำเนินนโยบายด้านสิ่งแวดล้อมทั่วโลก ที่ตั้งเป้าหมายการเป็นกลางทางคาร์บอนและการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ อาจส่งผลต่อรูปแบบการใช้พลังงานทั่วโลก และความต้องการใช้น้ำมันที่ไม่แน่นอน
ทำให้ผู้ผลิตบางส่วนยังคงชะลอการผลิตและการลงทุน ส่งผลให้อุปทานไม่เพียงพอต่อความต้องการใช้พลังงานที่เพิ่มขึ้น กลายเป็นข้อจำกัดกดดันราคาพลังงานยังผันผวนต่อเนื่อง
ในปี 2564 ราคาน้ำมันปรับตัวขึ้นสูงถึงขนาดเกิดม็อบรถสิบล้อ และราคาสินค้าเริ่มปรับสูงขึ้น
ส่วนสถานการณ์ในปี 2565 นั้น ทีมนักวิเคราะห์สถานการณ์น้ำมัน กลุ่ม ปตท. (PRISM Expert) ร่วมกับกลุ่มอุตสาหกรรมโรงกลั่นน้ำมันปิโตรเลียม สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) ประเมินแนวโน้มทิศทางธุรกิจพลังงานปี 2565
ราคาปิโตรเลียมจะปรับสูงขึ้นทุกผลิตภัณฑ์ จากความต้องการใช้ที่เพิ่มขึ้น ตามทิศทางเศรษฐกิจโลกที่เริ่มฟื้นตัว โดยคาดการณ์ราคาน้ำมันดิบดูไบปี 2565 จะอยู่ที่ระดับ 71-76 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล เพิ่มขึ้นจากปี 2564 คาดอยู่ที่ 68-73 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล
ราคาผลิตภัณฑ์น้ำมันสำเร็จรูป คาดว่าจะเพิ่มขึ้นตามกันทุกผลิตภัณฑ์ โดยค่าการกลั่น (GRM) ตลาดสิงคโปร์ คาดว่าเฉลี่ยอยู่ที่ 4-5 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล จากปีนี้คาดว่าเฉลี่ยอยู่ที่ 3-4 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล
ทิศทางราคาก๊าซธรรมชาติเหลว (แอลเอ็นจี) ราคาแอลเอ็นจีตลาดจร (สปอต แอลเอ็นจี) อ้างอิงของประเทศญี่ปุ่นและเกาหลีใต้ (Japan-Korea Marker: JKM) คาดการณ์ปี 2565 เฉลี่ยอยู่ที่ 17.8 เหรียญสหรัฐ/ล้านบีทียู
เพิ่มขึ้นจากปี 2564 อยู่ที่ 15.5 เหรียญสหรัฐ/ล้านบีทียู จากความต้องการใช้ที่สูงขึ้นในฤดูหนาว และเทรนด์ของโลกที่มุ่งพลังงานสะอาด
นายอรรถพล ฤกษ์พิบูลย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) ระบุว่าปัญหาโควิดและความขัดแย้งของกลุ่มโอเปกพลัส ทำให้ราคาน้ำมันดิบลดลงช่วงโควิดปีแรก กลุ่มโอเปกจึงได้ปรับลดกำลังการผลิตลง ส่งผลให้ราคาน้ำมันดิบแพงขึ้น
อีกทั้งสภาพอากาศร้อนจัดและหนาวจัดในหลายประเทศ ยังเป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่ทำให้ราคาพลังงานผันผวน
เห็นได้จากผลกระทบโดยตรงต่อราคาขายปลีกน้ำมันในประเทศที่ปรับขึ้นๆ ลงๆ ผลทางด้านจิตวิทยาคนจะรับรู้ว่าราคาน้ำมันปรับขึ้นมากกว่าปรับลง
โดยภาพรวมราคาน้ำมันเบนซิน ณ ปัจจุบันปรับขึ้นไปเกิน 30 บาท/ลิตร
ราคาน้ำมันดีเซล บี 7 ซึ่งเป็นน้ำมันพื้นฐาน อยู่ที่ 28 บาทกว่า/ลิตร ด้วยผลจากมาตรการลดสัดส่วนการผสมไบโอดีเซลเหลือ 7% มีผลตั้งแต่เดือนธ.ค.2564-มี.ค.2565
จากก่อนหน้านี้ที่ปรับขึ้นไปชนเพดาน 30 บาท/ลิตร
ด้วยเหตุข้างต้น เป็นผลให้คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) หรือ ‘เรกูเลเตอร์’ มีมติเรียกเก็บค่าไฟฟ้าผันแปรอัตโนมัติ (ค่าเอฟที) งวดเดือนม.ค.-เม.ย.2565 เพิ่มขึ้น 16.71 สตางค์ต่อหน่วย มาอยู่ในอัตราเรียกเก็บที่ 1.39 สตางค์ต่อหน่วย จากเดิมอยู่ที่ -15.32 สตางค์ต่อหน่วย เป็นการปรับขึ้นครั้งแรกในรอบ 2 ปี
ส่งผลให้อัตราค่าไฟฟ้าเฉลี่ยที่เรียกเก็บกับประชาชนงวดเดือนม.ค.-เม.ย.2565 เพิ่มขึ้น 17 สตางค์ต่อหน่วย มาอยู่ที่ 3.78 บาทต่อหน่วย จากเดิมอยู่ที่ 3.61 บาทต่อหน่วย
ด้าน นายคมกฤช ตันตระวาณิชย์ เลขาธิการและโฆษก กกพ. ระบุว่าการเรียกเก็บค่าเอฟทีเพิ่มขึ้นในงวดดังกล่าวจะเป็นการทยอยปรับขึ้นแบบขั้นบันได เพื่อเฉลี่ยค่าใช้จ่ายตลอดทั้งปี 2565 ที่คาดว่าแนวโน้มต้นทุนจะสูงขึ้น บนสมมติฐานราคาน้ำมันดิบตลาดโลกเฉลี่ยอยู่ที่ 70 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล อัตราแลกเปลี่ยนคาดเฉลี่ยอยู่ในระดับ 32.1 บาท/เหรียญสหรัฐ
ทั้งหมดดำเนินการภายใต้เงื่อนไขการนำเงินบริหารจัดการค่าเอฟที และเงินเรียกคืนฐานะการเงินจากการไฟฟ้าที่มีอยู่ทั้งหมด มาลดผลกระทบของการปรับค่าเอฟทีครั้งนี้กว่า 5,129 ล้านบาท
รวมทั้งนำเงินผลประโยชน์ของบัญชีเงินที่จ่ายค่าก๊าซธรรมชาติล่วงหน้าตามปริมาณก๊าซตามสัญญาไปก่อน (Take or Pay) ของแหล่งก๊าซธรรมชาติเมียนมา 13,511 ล้านบาท รวมเป็นเงินอุดหนุนการปรับขึ้นค่าเอฟที 18,640 ล้านบาท
“หากไม่เฉลี่ยทยอยปรับขึ้นแบบขั้นบันไดค่าเอฟทีต้องปรับเพิ่มขึ้น 22.50 สตางค์ เป็น 7.18 สตางค์ ส่งผลกระทบต่อผู้ใช้ไฟฟ้าในระยะสั้นเป็นอย่างมาก โดย กกพ.จะพิจารณาทยอยปรับค่าเอฟทีตามค่าจริงในรอบต่อๆ ไป”
ทั้งนี้หากไม่มีการบริหารจัดการใดๆ เลย ค่าเอฟทีในงวดเดือนม.ค.-เม.ย.2565 (ที่ใช้ค่าจริงเดือนก.ย.2564 ในการประมาณการ) จะเพิ่มสูงขึ้นเป็น 48.01 สตางค์ เนื่องจากอัตราแลกเปลี่ยนที่อ่อนค่าลง
การนำเข้าพลังงานไฟฟ้าจากต่างประเทศในส่วนของพลังน้ำลดลงตามฤดูกาล และการผลิตไฟฟ้าจากถ่านลิกไนต์ลดลงตามแผนการปลดโรงไฟฟ้าแม่เมาะ ส่งผลให้การเดินเครื่องโรงไฟฟ้าที่มีต้นทุนราคาถูกลดลง
ประกอบกับราคาก๊าซธรรมชาติ ซึ่งเป็นเชื้อเพลิงหลักในการผลิตไฟฟ้าปรับตัวเพิ่มสูงขึ้นมากตามภาวะราคาน้ำมันดิบตลาดโลกเป็นช่วงขาขึ้น และปริมาณนำเข้าก๊าซธรรมชาติเหลว (แอลเอ็นจี) ที่มากขึ้น เพื่อทดแทนปริมาณก๊าซธรรมชาติในอ่าวไทยที่ลดลงช่วงปลายสัมปทาน
โดย กกพ.ประเมินความต้องการพลังงานไฟฟ้าในช่วงเดือน ม.ค.-เม.ย.2565 ประมาณ 65,325 ล้านหน่วย เพิ่มขึ้น 1.26% จากประมาณการงวดเดือนก.ย.-ธ.ค.2564 ที่คาดว่าจะมีความต้องการพลังงานไฟฟ้าประมาณ 64,510 ล้านหน่วย
นอกจากนี้สัดส่วนการใช้เชื้อเพลิงในการผลิตไฟฟ้า ยังใช้ก๊าซธรรมชาติเป็นเชื้อเพลิงหลัก 60.27% ของทั้งหมด
แบ่งเป็นซื้อไฟฟ้าจากสปป.ลาวและมาเลเซีย รวม 13.92% และค่าเชื้อเพลิงถ่านหินนำเข้าโรงไฟฟ้าเอกชน 7.68% ลิกไนต์ของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) 7.55% และอื่นๆ อีก 6.92%
ก๊าซหุงต้มหรือก๊าซปิโตรเลียมเหลว (แอลพีจี) ในตลาดโลกเมื่อเดือนต.ค.ที่ผ่านมา ปรับตัวสูงขึ้นถึงระดับ 800 เหรียญสหรัฐ/ตัน สูงสุดในรอบปี 2564
คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) ยังมีมติให้ตรึงราคาขายปลีกก๊าซหุงต้มไว้ที่ 318 บาท/ถังขนาด 15 กิโลกรัม จนถึงเดือนธ.ค.2564
คาดว่ารัฐบาลจะอุดหนุนราคาต่อไปจนถึงเดือนมี.ค.2565 เท่านั้น
ทั้งนี้กระทรวงพลังงาน คาดการณ์แนวโน้มราคาน้ำมันดิบตลาดโลกจะทยอยปรับลดลง จากปัจจุบันอ้างอิงราคาน้ำมันดิบตลาดดูไบอยู่ที่ 79-80 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล มาอยู่ที่ 78.5 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล ในช่วงต้นเดือนม.ค.2565 และลดลงต่อเนื่องเดือนละ 1 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรลในเดือนถัดๆ ไป
ท่ามกลางข้อสันนิษฐานจากหลายสำนักที่มองว่าเศรษฐกิจจะค่อยๆ ทยอยฟื้นตัวขึ้นแบบค่อยเป็นค่อยไป เช่นนั้นแล้วน้ำมันก็ยังเป็นสิ่งที่มีความต้องการสูง
คาดการณ์ได้ว่าแม้ราคาน้ำมันดิบจะปรับลดลงตามฤดูหนาวที่สิ้นสุดลง แต่คงไม่ได้ปรับลดลงมากนัก ตราบใดที่ยังมีความต้องการน้ำมันสูงขึ้นต่อเนื่องในเวลาเดียวกัน
เช็กไทม์ไลน์มาตรการตรึงราคาพลังงานของรัฐบาล จะหมดอายุลงช่วงเดือนมี.ค.-เม.ย.2565 ไม่แคล้วทุกคนต้องกลับคืนสู่โลกแห่งความจริง
เตรียมใจรับมือกับราคาน้ำมัน ค่าไฟ ค่าแก๊ส จ่อเรียงคิวปรับขึ้น หากไม่มีมาตรการรัฐบาลเข้ามาอุดหนุน
นี่ยังไม่นับผลพวงอื่นๆ เช่น ราคาสินค้าที่จะแพงขึ้นตามมา
เป็นข่าวร้ายรับปีใหม่ สำหรับคนไทยจริงๆ