เปิดตัวเลขน่าตกใจ คนเดินถนน ถูกรถชนดับ ปีละกว่า 1.2 พันคน จี้แก้ 3 โจทย์ใหญ่ หมอชี้ความสูญเสียแค่ยอดภูเขาน้ำแข็ง ต้องแก้ที่ฐานวางระบบความปลอดภัย
วันที่ 3 ก.พ.65 แพทยสภา จัดบรรยายพิเศษโครงการ “หมอชวนรู้” ครั้งที่ 1 เรื่อง “อุบัติเหตุจราจร แก้ไขได้อย่างไรในมุมมองการแพทย์” หลังจากมีกรณีการเสียชีวิตของ พญ.วราลัคน์ สุภวัตรจริยากุล หรือ หมอกระต่าย จากการถูกตำรวจขับรถบิ๊กไบก์ ชนระหว่างข้ามทางม้าลาย
โดย ศ.เกียรติคุณ พญ.สมศรี เผ่าสวัสดิ์ นายกแพทยสภา กล่าวว่า เรื่องของคุณหมอกระต่ายเป็นความสูญเสียของวงการแพทย์ ซึ่งความเชี่ยวชาญเฉพาะทางของคุณหมอกระต่ายด้านจักษุแพทย์มีไม่ถึง 50 คน อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าใครก็ไม่ควรเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ ทางม้าลายควรปลอดภัยสำหรับคนข้าม ทั้งนี้ แพทยสภาได้ฝึกอบรมแพทย์เฉพาะทางสาขาเวชศาสตร์ป้องกัน แขนงเวชศาสตร์การจราจร เพราะเล็งเห็นถึงความสำคัญโดยมีภารกิจ
คือ 1.ดูแลรักษาฟื้นฟูผู้บาดเจ็บจากการจราจร สอนให้มีทักษะประเมินให้ความเห็นและรับรองสมรรถนะ รวมถึงผลกระทบด้านสุขภาพของผู้ขับขี่ที่อาจจะมีต่อสมรรถนะการขับขี่ทางบก ทางเรือ ทางอากาศ และทางรางก่อนที่จะออกใบอนุญาตรวมถึงต่อใบอนุญาตตามกรอบกฎหมายแต่ละด้าน
2.สอนให้มีทักษะด้านการเฝ้าระวัง สอบสวนโรคภัยสุขภาพ และกระทำ Health Project โดยเฉพาะการสอบสวนอุบัติเหตุการจราจรต่างๆ 3.สอนให้มีทักษะด้านการบำบัดวินิจฉัยในระยะเบื้องต้น ประสานการรักษา ฟื้นฟูสมรรถภาพผู้บาดเจ็บ เน้นการประเมินสมรรถภาพรวมถึงผลกระทบด้านสุขภาพของผู้ขับขี่
ทุกครั้งที่มีการสูญเสียซึ่งสังคมสนใจและหน่วยงานต่างๆ เข้ามาเกี่ยวข้อง จะเป็นคลื่นกระทบแล้วหายไป แพทยสภาพจึงให้ความสำคัญเรื่องนี้ โดยเฉพาะการให้ความรู้ความเข้าใจทั้งแพทย์ประชาชนเพื่อเพิ่มระบบความปลอดภัยอย่างป็นรูปธรรม และมีระบบกำกับติดตามผลให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น
นพ.อำนวย กาจีนะ นายกสมาคมเวชศาสตร์การจราจร กล่าวว่า ความรู้และทักษะการบริหารระบบความปลอดภัยการจราจร จะช่วยป้องกันควบคุมความเสี่ยงที่นำไปสู่การบาดเจ็บรุนแรงหรือเสียชีวิต เป็นบทบาททางการแพทย์ที่ต้องดำเนินการร่วมกับผู้เกี่ยวข้อง สำหรับเรื่องความปลอดภัยบนท้องถนน
ทางสากลจะให้ความสำคัญคุณภาพของ 4 กลุ่มหลัก คือ 1. คนขับรถ 2.คนขี่มอเตอร์ไซต์ 3.ผู้ขี่จักรยาน และ 4.คนเดินเท้าที่สำคัญที่สุด หลายประเทศเป็นเครื่องบ่งชี้สำคัญ เพราะแม้ 3 กลุ่มแรกจะดี แต่หากกลุ่มผู้ใช้ถนนยังถูกละเลย ไม่มีนโยบายหรือระบบดูแลความปลอดภัย แสดงว่าคุณภาพของผู้ใช้ถนนทั้ง 4 กลุ่มยังไม่สมดุลพอ
อย่างไรก็ตาม เรื่องนี้ต้องมองผ่านมาตรการที่หลากหลาย ไม่ใช่เรื่องกฎหมายอย่างเดียว หลายส่วนพูดว่าเวลาที่จะต้องผลักดันให้เกิดกฎหมายคนเดินเท้า และสร้างมาตรฐานความปลอดภัยคนเดินเท้า เพราะเป็นกลุ่มสำคัญที่ยังมีความชัดเจนน้อยมากในระดับนโยบายและระดับปฏิบัติ นอกจากนี้ ท้องถิ่นก็มีบทบาทสำคัญในการเป็นผู้นำดูแลถนนหนทาง ออกแบบถนนให้เหมาะสมกับการจัดการของท้องถิ่น
นพ.ธนะพงศ์ จินวงษ์ ผู้จัดการศูนย์วิชาการเพื่อความปลอดภัยทางถนน (ศวปถ.) กล่าวว่า การสูญเสียบนท้องถนนเกิดขึ้นทุกวัน ยังเห็นแบบแผนบางที่พบประจำจนเป็นปกติของคนไทย คือ ขับเร็ว มองไม่เห็นคนข้าม ไม่เห็นข้างหน้าเป็นทางม้าลาย เห็นรถชะลอข้างหน้าจึงขับขวาแซง ถือเป็นโจทย์ใหญ่ที่ต้องหาแนวทางแก้ไขอาจจะด้วยกฎหมายเพื่อลดความเสี่ยง
ทั้งนี้ เรามีคนตายรวมแต่ละปีก่อนโควิด 2 หมื่นกว่าราย ช่วงโควิดปีที่แล้วลดลงเหลือ 1.7 หมื่นราย เฉลี่ยวันละ 48-49 คน จำนวนนี้ 6-8% หรือ 800-1,200 รายเป็นคนเดินถนน และ 1 ใน 4 เป็นการเดินข้ามถนน ทั้งทางม้าลายและไม่ข้ามทางม้าลาย หรือเฉลี่ยปีละ 300-400 คน แต่ที่มองข้ามไม่ได้คือ 5% เฉลี่ยหลักหมื่นคนบาดเจ็บรุนแรงจนพิการ
โจทย์ใหญ่ที่ต้องเร่งแก้คือ 1.กายภาพที่ไม่ชัดเจน ทำอย่างไรให้ทางม้าลายถูกเห็นชัดเจนด้วยสัญญาณหรือป้ายหรือไฟ นอกจากนี้ ทางม้าลายหลายช่องจราจรทำให้การข้ามมีจุดบอดบดบังสายตาระหว่างข้าม เช่น กรณีคุณหมอกระต่ายที่มีด้านละ 3 เลน 2.คนขับมาเร็วไม่ชะลอ ที่มักชนส่วนใหญ่เป็นมอเตอร์ไซค์ 3.คนเดินไว้ใจทางม้าลายเกินไป คิดว่าคงหยุด แต่รถไม่หยุด บางเคสถูกดึงสมาธิ เช่น ดูมือถือหรือหยอกล้อแต่มีไม่มาก
ความสูญเสียที่เกิดเหมือนยอดภูเขาน้ำแข็งที่โผล่พ้นน้ำ แต่รากภูเขาน้ำแข็ง ฐานคิดที่ควรตั้วหลักให้ดี หากเรายอมรับว่าคนมีโอกาสผิดพลาด เหมือนเวลาขับรถลืมคาดเบลท์ แต่โดยเทคโนโลยีสมัยนี้ก็มีระบบเตือน แต่ข้อผิดพลาดทางม้าลายหลายเรื่องยังไม่มีจุดป้องกันรัดกุมพอ จึงต้องหันกลับมาวางระบบแห่งความปลอดภัยเพื่อลดความสูญเสีย
เช่น จัดการความเร็ว จัดการตัวถนน จัดการตัวรถ ยานพาหนะ และจัดการตัวคนทั้งผู้ขับขี่และผู้ใช้ถนน ต้องสะท้อนข้อมูลสู่สังคมอย่างต่อเนื่องเพื่อนำไปสู่การป้องกันเหตุและความสูญเสีย หนุนกระแสสังคมทำให้เกิดวัฒนธรรมความปลอดภัยทางถนน เพื่อสร้างการเปลี่ยนแปลง และระยะยาว ออกกฎหมายจำกัดความเร็ว สร้างการเรียนรู้ในเด็กและเยาวชน เช่นสิงคโปร์ ที่สอนเด็กมองซ้ายขวาและยกมือก่อนข้ามถนน
นพ.วิทยา ชาติบัญชาชัย ผู้เชี่ยวชาญในคณะที่ปรึกษาของ WHO ด้านการป้องกันการบาดเจ็บ กล่าวว่า กล่าวว่า การเสียชีวิตของคุณหมอกระต่ายจะต้องเป็นแรงผลักดันให้เกิดการเปลี่ยนแปลงวัฒนธรรมเพื่อความปลอดภัยของคนเดินถนนในสังคม
โดยผลักดันวัฒนธรรมการหยุดรถให้คนเดินข้ามตรงทางข้าม ขับขี่รถไม่เกิน 30 กม./ชม.ในเขตชุมชนเมือง ตามข้อแนะนำในแผนโลกเพื่อความปลอดภัยทางถนนขององค์การอนามัยโลก 2021 บังคับใช้กฎหมายต่อผู้กระทำผิดอย่างเข้มงวดจริงจัง ปลูกฝังสร้างวินัยเด็กเยาวชน ประชาชนให้ข้ามถนนอย่างปลอดภัยข้ามถนนบนทางท้าลาย
และหยุดรถให้คนเดินข้ามผ่านระบบการศึกษาและการรณรงค์ทุกช่องทาง และปรับเปลี่ยนทางข้ามทุกแห่งทั่วประเทศให้ได้ตามแบบมาตรฐานทางข้าม ไม่ใช่แค่ทางม้าลาย