เปิดชีวิตของ "ปูดํา สรารัตน์" อยู่ตัวคนเดียว ไร้เพื่อน ญาติพี่น้อง แต่มีความสุขได้

Home » เปิดชีวิตของ "ปูดํา สรารัตน์" อยู่ตัวคนเดียว ไร้เพื่อน ญาติพี่น้อง แต่มีความสุขได้
เปิดชีวิตของ "ปูดํา สรารัตน์" อยู่ตัวคนเดียว ไร้เพื่อน ญาติพี่น้อง แต่มีความสุขได้

หลายคนอาจคุ้นหน้า คุ้นตากันดีว่า นักแสดงสาวสวยรวยเสน่ห์คนนี้มีดีกรีเป็นถึงรองนางสาวไทย ปี พ.ศ. 2529 รวมทั้งตำแหน่งรองอันดับ 2 มิสเอเชียแปซิฟิกอีกด้วย สำหรับ ปูดำ-สรารัตน์ หรุ่มเรืองวงศ์ ที่มาเยือนรายการ ต้มยำอมรินทร์ ผลิตโดย CHANGE2561 ได้เคลียร์ชัดเรื่องที่หยุดรับงานละครเพราะด้วยเหตุผลของเรื่องเวลา ยอมรับว่าในชีวิตนี้มีตัวเองไม่มีเพื่อนเลยมีเพียงกัลยาณมิตรสายบุญเท่านั้น ในส่วนของชีวิตที่เหลืออยู่ตั้งอธิษฐานจิตภาวนาว่าถ้าจะหลับหรือเป็นอะไรก็ขอให้ไปแบบดีๆ 

เรียกว่าหายหน้าจากจอละครไปนานมาก เพราะในช่วงหนึ่งเราจะเห็นหน้า พี่ปูดำ บ่อยมากฝากฝีไม้ลายมือในละครโดดเด่นหลากหลายหลายเรื่องแล้วทำไมอยู่ดีๆหายไป

ปูดำ : “หายไปเพราะว่าเมื่อปีที่แล้วทั้งปีไม่ได้รับละครเลย เพราะว่าเมื่อ 2 ปี ปีก่อนหน้านี้รับละครปีละ 5 ปี ซึ่งช่วงนั้นช่วงที่คุณแม่ไม่สบาย ป่วย และโคม่า ทุกวันนี้ยังมานั่งเสียใจเลยแต่ว่าละครเขาก็ต้องถ่ายและอากาศ ซึ่งคุณแม่ ป่วย โคม่าแล้วก็เสียในช่วงนั้นเราเลยรู้สึกว่าการที่เรารับงานแสดงเราทำเพื่อครอบครัว แต่เมื่อเราทำเยอะเกินไปจนเราไม่ได้กลับไปดูแลเขาเราเลยรู้สึกว่าเราทำไปเพื่ออะไร เพราะวันนั้นตอนที่เขายังอยู่เราก็มีงานเราเลยไม่สามารถกลับไปดูแลเขาอย่างเดียวได้ พอเราจบทุกสิ่งทุกอย่างพร้อมกับแม่ พร้อมกับละคร เราเลยมีความรู้สึกว่าเราไม่สามารถย้อนกลับไปไม่ได้แล้วเราอยากจะพักแล้วก็เหนื่อยมาก เพราะเราย้อนกลับไปมองแล้วว่ามันสูญเสียทุกอย่างกับสิ่งที่ได้มาคือ ได้เพื่อนได้คนในวงการ ได้ความที่ทุกคนจดจำเรา แต่เราสูญเสียอะไรที่ยิ่งใหญ่ไปในช่วงเวลาที่เราทำงานเยอะๆก็เลยพักไปปีหนึ่ง แล้วช่วงหนึ่งปีที่เราพักก็มีติดต่อมาค่ะ เป็นคนดี คอมเมดี้ ซึ่งมันไม่ใช่ตัวเราหรือบทที่เราจะเล่นได้ ซึ่งเรามองแล้วก็ไม่ใช่เราด้วย แล้วก็ข้อจำกัดในการเล่นละครของเราคือ เราไม่ชอบรับเชิญ ซึ่งพอติดต่อมาแล้วเราไม่รับผู้จัดบางคนก็งอนไปก็มีนะ” 

ซึ่งอีกส่วนหนึ่งที่เขาพูดกันคือ ที่ พี่ปูดำ ไม่รับงานเพราะว่าเบื่อคนในวงการบันเทิง

ปูดำ : “ใช่ค่ะ จริงๆ แล้วเรารู้สึกว่าสังคมของคนที่มากกว่า 2-3 คนขึ้นไปพอมันลับหลังกันก็จะมีการพูดกันโดยที่มีข้อมูลบ้าง ไม่มีข้อมูลบ้าง ซึ่งอย่างบางครั้งเวลามีคนไปพูดถึงเราแล้วเราไปได้ยินว่ามีคนพูดถึงเราแบบนี้ หรือเราไปพูดถึงเขาแบบนั้น เราก็จะมีความรู้สึกว่าเอาอีกแล้วเหรอเราอยู่บ้าน เราอยู่วัด แล้วเราไม่ได้ไปไหนเลย แล้วเราไม่คบใครแต่ก็ไม่ได้ไม่คบใครเลยนะคะ ซึ่งการไปวัดของพี่ก็จะไปต่อเมื่อนัดกัลยาณมิตรสายบุญข้างนอก แต่ไม่มีคนในวงการบันเทิง แต่คนในวงการบันเทิงจะมีบ้างประปรายแต่จะเป็นลักษณะที่ไปเจอกันที่วัด ไม่ใช่แบบว่าไปช้อปปิ้ง ดูหนัง ฟังเพลง สไตล์นี้เราไม่มึ แล้วเวลาที่คนพูดถึงเราว่าเราพูดอย่างนั้น เราพูดอย่างนี้ เราจะมีความรู้สึกว่าบางทีเราเคยเข้าใจเพราะว่าบางครั้งเราอาจจะไม่ชัดเจน ไม่ออกมาอยู่ข้างนอกสื่อคนเลยมีความรู้สึกว่าใช่หรือเปล่า ใช่หรือเปล่า สิ่งที่เขาได้ยินมา” 

ทุกวันนี้เรียกได้เราอยู่ตัวคนเดียว

ปูดำ : “พูดอย่างนั้นดีกว่าค่ะ เพราะว่าวัยนี้ให้มาพูดถึงเรื่องแฟนบอกตรงๆ ว่ารู้สึกล้าและรู้สึกเฉยแต่ก็ไม่ได้ปิดกั้น เดี๋ยวหาว่าวันนั้นคุณปฏิเสธเสียงแข็ง” 

เอาจริงๆ พี่ปูดำ มีคนเข้ามาไหม

ปูดำ : “มีตลอดค่ะ ช่วงที่เปิดร้านช่วงที่คุณแม่ยังอยู่คือมีตั้งแต่พ่อค้าวาณิชย์ถึงรัฐมนตรี เพียงแต่ว่าช่วงโมเมนท์ นั้นเราจะแยกตัวเองว่าบทบาทเราเป็นเจ้าของร้านถ้าเกิดเรามีใจหรือคุยกับใครสักคนมันจะจบเลยเราก็จะต้อนรับทุกคน แล้วทุกคนก็จะเข้ามาเราก็ดูแลลูกค้าทุกคนแต่ก็ไม่ได้โฟกัสใครเพราะเราไม่อยากให้ใครมาคิดว่าเราเปิดร้านเพราะว่าเราหาผู้ชาย”

ที่ผ่านมาไม่มีใครเข้าตาเข้าใจเลยเหรอ

ปูดำ : “ก็มีนะคะ มีแล้วแบบดูแลเราไม่ได้แล้วบ้าง มีแล้วแบบมีคู่แล้วบ้าง เพราะจังหวะคนที่เข้ามาเขายังไม่เหมาะกับเรา ตอนนี้เลยยังโสดอยู่ แต่ถ้าถามว่าเหงาไหม เหงามากนะคะ เพราะว่าพอคุณพ่อคุณแม่ท่านเสียไป แล้วพี่ชายบวชตลอดเสียชีวิตเราเลยเหมือนคนตัวคนเดียวเลย เพราะเราตื่นขึ้นมาเรามีแค่แม่บ้านแล้วก็หมู หมา กาไก่ ที่เราเลี้ยงไว้ที่บ้านเราเลยมีความรู้สึกว่าเราตัวคนเดียวแล้วเหรอ ถ้าเกิดเราล้มลง หรือมีอะไรเกิดขึ้น กับเราเราไม่มีใครแล้วเหรอ เลยทำให้เราคิดย้อนกลับไปช่วงที่เรารับละครเยอะแล้วเราไม่ได้ดูแลแม่ พอเรามีเวลาว่างแล้วจะไปดูแลแม่ได้คือ ไอซียู คือ ไม่ให้เราเข้า” 

นอกเหนือจากไม่มีแฟนแล้ว เพื่อนที่คบจริงๆ จังๆ ก็ไม่มีด้วย

ปูดำ : “ไม่มีค่ะ ก็จะมีแต่น้อง อย่าง บุ๋ม และก็จะมีกัลยาณมิตรที่ดีทางด้านสายบุญ ที่จะไปวัดด้วยกันแต่พอเราเสร็จเรียบร้อยทำบุญเสร็จเราก็ต่างคนต่างแยกย้าย ส่วนเพื่อนสนิทที่คิดอะไรไม่ออกเราจะโทรหาเขาคือไม่มีเลย ทุกวันนี้ คิดอะไรไม่ออกคือ โทรหาพระพี่ชาย ซึ่งทุกวันนี้เราคุยอยู่แค่สองคนคือ พระพี่ชาย กับ หมอดู ที่คุยกับหมอดูก็เพราะว่าเราได้เล่าได้พูดได้คุยได้ถามแล้วเราก็จบแค่ตรงนั้นไม่ได้กระจายออกไปอีก” 

อนาคตมีคิดจะบวชไหม

ปูดำ : “จริงๆ แล้วมีความตั้งใจที่อยากปฏิบัติธรรมแต่ก็ไม่อยากอยู่รวมหมู่กับคนเยอะๆ เราก็เลยรู้สึกว่าการปฏิบัติเราก็สามารถทำที่บ้านได้ หรือ ถ้าเราจะไปปฏิบัติธรรมเราก็ไปในที่ที่คนไม่เยอะ จริงๆ สรุปคือเราแค่ไม่ชอบคนเยอะ” 

แล้วจากนี้ พี่ปูดำ คิดไหมว่าเราจะเดินไปสู้อะไรอยู่ เพราะในเมื่อทุกวันนี้ เงินทองก็มี มีทุกอย่างพร้อมหมด ทุกวันนี้เราเดินไปสู่อะไรอยู่

ปูดำ : “ถามแบบนี้จะตอบตรงๆแบบไม่อายเลยนะ ทุกวันที่เย็นแล้วเราเข้านอนแล้วเราหลับลงไปพร้อมกับผ้าห่มที่ห่มทำให้เราอุ่นตัว เราจะพูดเสมอว่า หลับไปเลยนะ หลับได้หลับไปเลย ถ้าไปขอไปแบบสงบ หลับไปเลยเพราะว่าเราไม่มีอะไรให้ห่วงแล้วเพราะเราไม่มีคุณพ่อคุณแม่ให้ห่วงแล้ว แล้วพี่ชายก็บวชเป็นพระ เราขอไปแบบนี้นะ ซึ่งก็เป็นสิ่งที่เราเลือกไม่ได้หรอก แต่เป็นสิ่งที่เราจินตนาการว่าถ้าเราเกิดไม่ตื่นขึ้นมา” 

ทุกวันนี้นั่งอธิษฐานจิตหรือว่าเข้าวัด อธิษฐานอะไร

ปูดำ : “ก็ไม่ได้อธิษฐานอะไรค่ะ เพราะว่าเราเป็นคนไม่นิ่งเราเลยอาศัยการสวดมนต์เป็นส่วนใหญ่ เวลาที่เราขอเราก็ขอตามหลักพระพุทธศาสนา แต่เราไม่เคยขอเงินทองเพราะว่าถ้าเราไม่ได้เคยสร้างมาทำมามันก็ไม่ได้ อย่าง ปู เคยฟังพระท่านเทศน์ว่า บางทีท่านกำหนดให้เรามีอยู่แค่นี้ถ้าเรามีมากเกินไปสุดท้ายมันก็จะหายไปหายไปด้วยเรื่องใดๆก็ตาม สุดท้ายเพราะเราถูกกำหนดมาแล้วว่าให้เรามีอยู่แค่นี้ และก็มีอยู่ครั้งมีพระอาจารย์ มาที่บ้าน ท่านก็บอกว่า ปู ทุกอย่างที่มีอยู่ในบ้านเอาใส่โลงไปหมดไหมเราก็มานั่งมอง เราก็บอกท่านว่าไม่หมดค่ะ ท่านก็บอกเราว่าไม่ต้องหาแล้วนะลูกไม่ต้องสะสมแล้วนะ แล้วเราก็มองกลับไปที่ตู้จานชามที่สวยงาม ท่านก็ถามเราว่าจานเรานี้เคยเอาออกมาให้พระได้ใช้ชามพวกนี้ไหม เราก็คิดว่าไม่เคย ซึ่งก็ทำให้เรารู้สึกว่ามันเป็นภาระทั้งสิ้นทุกวันนี้ ไม่ซื้อไม่หาอะไรที่ไม่จำเป็นต้องเลย” 

แล้วตอนนี้ พี่ปู จะกลับมารับละครยังเอ่ย

ปูดำ : “ละครพี่จะรับอยู่แล้ว ถ้าคาแรคเตอร์นั้นมันตรงกับเราแล้วก็ตามเงื่อนไขของเรา เพราะเราเองก็มีคอนเซ็ปท์ว่าไม่รับเชิญ เพราะเวลาเราเล่นเราอินทั้งตัวและหัวใจเวลาเราเล่นบทนั้นๆ แล้วเรารับเพราะเราไปเล่นแล้วพูด 3-4 ประโยคเราก็เลยมีมุมที่คิดว่าเขาคงไม่ต้องการเรา ถ้าเขาต้องการเราจริงๆมันจะต้องมีบทที่เป็นเรา แต่เมื่อถึงเวลาหนึ่งเราคงจะสร้างเงื่อนไขกับตัวเองไม่ได้มาก แต่พี่ก็คิดว่าอยากให้คนจำโมเมนท์ ที่คนจำได้ว่าปังละครเรื่องนี้ดี และเป็นเราจริงๆ”

สามารถชมรายการ ต้มยำอมรินทร์ ย้อนหลังได้ทาง ยูทูป

แท็กที่เกี่ยวข้อง

เรื่องอื่นที่น่าสนใจ