เบญจา แสงจันทร์ ส.ส. บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล เปิดเผยหลังได้รับหมายเรียกคดีหมิ่นประมาทละเมิดเรียกค่าเสียหาย 100 ล้านบาท ทั้งคดีอาญาที่ศาลมีคำสั่งนัดไต่สวนมูลฟ้องวันที่ 14 มิ.ย. 2564 เวลา 9.00 น. และคดีแพ่งมีกำหนดสืบพยานโจทย์ ในวันที่ 28 มิ.ย. 2564 เวลา 9.00 น. โดยทั้ง 2 หมาย สืบเนื่องมาจากการอภิปรายไม่ไว้วางใจ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ซึ่งหมายเรียกลงวันที่ 5 มี.ค. 2564 ในข้อหาหมิ่นประมาทละเมิดเรียกค่าเสียหาย ผู้กล่าวหาคือ กรรมการบริษัทพลังงานเอกชนแห่งหนึ่ง
ย้อนไทม์ไลน์ถูกฟ้องปิดปาก
เบญจา กล่าวว่าจากกรณีดังกล่าวตนถูกแจ้งดำเนินคดี ทั้งคดีอาญาและคดีแพ่ง จากการอภิปรายไม่ไว้วางใจ นายกรัฐมนตรี ไปเมื่อวันที่ (18 ก.พ.2564) ในการอภิปรายไม่ไว้วางใจ โดยระบุว่านายกรัฐมนตรีมีการเปิดโอกาสให้เอกชนรายหนึ่ง ได้รับประโยชน์จากนโยบายด้านพลังงานและสัมปทานจากภาครัฐ ท่ามกลางเศรษฐกิจย่ำแย่ ปล่อยให้กลุ่มทุนแสวงหาผลประโยชน์จากทรัพยากรของชาติ ซึ่งทำให้ประชาชนต้องใช้ค่าไฟฟ้าแพง ซึ่งหลังจากการอภิปรายดังกล่าวตนได้รับหมายเรียกและมีนัดรายงานตัวในวันที่ 14 มิถุนายน 2564 และในคดีแพ่งนัดรายงานตัวในวันที่ 28 มิถุนายน 2564
นอกจากนี้เบญจา ระบุว่า สิ่งที่เกิดขึ้นตนไม่รู้สึกแปลกใจกับการแจ้งความดำเนินคดี และรู้สึกหดหู่กับประเทศนี้กับการที่ การตรวจสอบของฝ่ายนิติบัญญัติกลับถูกแจ้งความดำเนินคดี การพูดความจริงการเปิดเผยข้อมูลที่เป็นประโยชน์กับพี่น้องประชาชนกลับถูกไล่ล่าดำเนินคดี
“ในฐานะสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรยังถูกแจ้งความ ทั้งที่ทำหน้าที่ตรวจสอบรัฐบาลตามครรลองรัฐสภา ปฎิบัติตามข้อบังคับ ไม่อยากนึกเลยว่าประชาชนคนธรรมดา ที่ลุกขึ้นมาตั้งคำถามต่อการบริหารงานของรัฐบาล เขาจะได้รับการปฏิบัติเช่นไรกลับไป”
ยืนยันเจตนาปกป้องผลประโยชน์ประชาชน
อย่างไรก็ตาม การนำเสนอในการอภิปรายไม่ไว้วางใจครั้งนี้ เชื่อมั่นว่าข้อมูลในการนำเสนอในการอภิปรายมีเจตนาที่ทำไปเพื่อประโยชน์ต่อสาธารณะ และเป็นไปเพื่อรักษาผลประโยชน์ของประเทศชาติและประชาชนเป็นสำคัญ โดยในการอภิปรายมีความจำเป็นที่จะต้องกล่าวถึงองค์กรและบุคคลที่เชื่อมโยงกับเครือข่ายของระบอบประยุทธ์ ซึ่งมีความเสี่ยงที่อาจจะถูกฟ้องดำเนินคดี แต่สิ่งที่ต้องการจะนำเสนอในการอภิปรายไม่ไว้วางใจในครั้งนี้
คือการตั้งคำถามถึงเครือข่ายค้ำยันฐานอำนาจของระบอบประยุทธ์ที่มีความมั่งคั่งเพิ่มขึ้นอย่างมาก ขยายกิจการโดยได้รับการสนับสนุนลดหย่อน เอื้ออำนวยความสะดวก จากรัฐทหารทั้งในเชิงข้อกฎหมาย และการแลกเปลี่ยนกันในแบบต่างๆ รวมถึงผลกระทบที่เกิดขึ้น ส่งผลกระทบต่อประเทศชาติและประชาชน
รับคำวิจารณ์ไม่ได้สมควรลาออก
ตนอยากสื่อสารไปยังรัฐบาลและนายกรัฐมนตรีว่า แม้หมายเรียกครั้งนี้จะไม่ได้ฟ้องเองแต่ก็บ่งบอกว่า หากรับไม่ได้กับการตรวจสอบตามระบอบประชาธิปไตย ก็สมควรที่จะลาออกแล้ว เพราะการเป็นประมุขฝ่ายบริหาร เมื่อถูกรัฐสภาในฐานะสถาบันฝ่ายนิติบัญญัติตรวจสอบ กลับแจ้งความกลับเช่นนี้มันไม่สง่างามเลย
“พฤติกรรมหลายอย่างของพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ทำให้ดิฉันได้เห็นว่าท่านไม่ได้กล้าหาญอย่างชายชาติทหารจริง แต่ท่านขี้ขลาดและกลัวความจริงกว่าสิ่งอื่นใด”