เทศบาลแจงดราม่าถุงดำ 10 บาท ยันไม่ได้ขาย แต่แจกให้บ้านที่จ่ายค่าขยะ มีปัญหาเพราะสื่อสารไม่ตรงกัน

กรณีการจำหน่ายถุงขยะของเทศบาลเมืองปากพูน อำเภอเมืองนครศรีธรรมราช ถูกเผยแพร่ผ่านโซเชียลมีเดีย หลังจากกลายเป็นข่าวโด่งดังถูกให้ความสนใจอย่างมาก เมื่อ 9 สิงหาคม 2566 ผู้สื่อข่าวได้ลงพื้นที่ติดตามเรื่องนี้ไปยังพื้นที่หมู่บ้านการเคหะ 2 ตำบลปากพูน อำเภอเมืองนครศรีธรรมราช เขตบริหารท้องถิ่นของเทศบาลเมืองปากพูน ได้พบรถขยะของเทศบาลเมืองปากพูน กำลังเข้าให้บริการในพื้นที่พอดี ซึ่งตรงกับวันนัดหมายจับเก็บขยะของหมู่บ้านคือทุกวันพุธ และวันเสาร์

เมื่อผู้สื่อข่าวเข้าแสดงตัวและขอบันทึกภาพทั้งชาวบ้านและพนักงานเทศบาล ยินดีที่จะให้บันทึกภาพและบอกว่า ที่เป็นข่าวไปนั้นข้อเท็จจริงเรื่องจริงกลายเป็นคนละเรื่องกัน

นายนิคม คงจีน ชาวหมู่บ้านการเคหะ 2 ระบุว่าปัญหาขยะเป็นปัญหาโลกแท้ที่จริงแล้วเรื่องนี้คือปัญหาการไม่จ่ายค่าจัดเก็บขยะประมาณเดือนละ 20 บาท ที่หมู่บ้านของลุงเขาจะมาจัดเก็บสัปดาห์ละ 2 ครั้ง ได้มีการแก้ไขปัญหาของเทศบาลคือการจ่ายเงินค่าบริการจัดเก็บขยะที่รถขยะได้เลย ตามสะดวกของชาวบ้านจ่ายกี่บาทก็ได้ เขาจะออกใบเสร็จให้ จ่าย 100 บาทก็ได้ถุง 10 ใบ ซึ่ง 10 ใบนี้ ข้อเท็จจริงแล้วใน 1 ใบ บ้านเล็กๆ หลังเดียวอาจจะใช้ได้มากกว่า 1 สัปดาห์ไม่ได้ทิ้งทุกวัน และที่หน้าบ้านของลุงกลายเป็นที่ทิ้งขยะชาวบ้านมาทิ้งอยู่ที่นี่หลายคนจนเป็นปัญหาเช่นกัน

ขณะที่ นายภาณุมาศ วงศ์เดช พนักงานเทศบาลเมืองปากพูน ระบุว่าข้อเท็จจริงนั้นไม่ได้เป็นไปตามการโพสต์หรือตามกระแสข่าว เทศบาลไม่ได้จำหน่ายขายถุงขยะ แต่เป็นการให้บริการเก็บขยะตามปกติและมีการจัดเก็บค่าบริการขยะตามปกติเช่นที่ทุกท้องถิ่นดำเนินการ การชำระเงินที่รถไม่ได้จำกัดว่าจะชำระตายตัว แต่ตามที่ผู้ใช้บริการสะดวกเช่นมีกำลังชำระ 200 บาท จะได้ถุงไป 20 ใบ ซึ่ง 20 ใบนี้แทบจะใช้ได้ทั้งปี สำหรับบ้านหลังเล็กๆ เดือนหนึ่งอาจเอามาทิ้งตามจุดแค่ 2 ครั้ง จ่าย 20 บาท ได้ถุง 2 ใบ ใช้ได้มากกว่า 2 สัปดาห์เป็นต้น อันนี้ไม่ได้รวมถึงห้างร้านหรือร้านค้า ที่มีขยะมากเป็นปกติซึ่งเหล่านั้นก็มีอัตราตามปกติอยู่แล้ว

พนักงานเทศบาลรายนี้ยังบอกว่าด้วยว่าแนวนโยบายของผู้บริหารคือพื้นที่สวยงามไม่มีถังขยะ ชาวบ้านทิ้งขยะตามเวลาโดยบรรจุอยู่ในถุงเจ้าหน้าที่เก็บตามนัดหมาย แต่ปัญหาในขณะนี้คือการสื่อสารที่เข้าใจไม่ตรงกัน ส่วนทางผู้บริหารทราบว่าต้องเดินทางไปชี้แจงเรื่องนี้ที่กระทรวงมหาดไทย