“เต้น ณัฐวุฒิ” เจอกับตัว มิจฉาชีพป่วนร้านเยี่ยมใต้ สั่งไวน์หรูกว่า 4 หมื่น ให้ทางร้านโอนเงินก่อน แต่ไม่หลงกล เตรียมเอาผิดคนร้าย
วันนี้ (27 ม.ค.) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อเวลา 15.00 น. ได้เดินทางเข้าพบ นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ หรือ เต้น อดีตผู้อำนวยการครอบครัวเพื่อไทย อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์และรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ปัจจุบันรับหน้าที่เป็นเด็กเสิร์ฟร้านอาหารเยี่ยมใต้ ถนนเลี่ยงเมืองปากเกร็ด ต.บางตลาด อ.ปากเกร็ด จ.นนทบุรี เพื่อสอบถามถึงการโพสต์เรื่องราวที่มีมิจฉาชีพโทรมาหลอกจองโต๊ะและอาหารภายในร้าน รวมทั้งหลอกให้สั่งซื้อไวน์ราคาแพงให้
นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ หรือ เต้น เปิดเผยว่า เมื่อวานตอนกลางวันตนเข้ามาดูแลร้านปกติ ระหว่างนั่งทานอาหารกลางวันได้ยินพนักงานแจ้งว่ามีลูกค้าโทรมาจอง 20 ที่ในห้องส่วนตัว ตนก็นั่งฟังไปปกติ จนได้ยินว่าลูกค้าถามเรื่องเครื่องดื่ม ให้แนะนำเรื่องเครื่องดื่มว่ามีไวน์อะไรบ้าง ตนก็เอะใจ ตนจึงบอกกับเด็กในร้านว่าไม่ใช่ลูกค้าแล้ว น่าจะเป็นแก๊งมาหลอกลวง
ตนจึงให้พนักงานในร้านพิมพ์ไลน์โต้ตอบไปมาสักพัก เพื่อต้องการดูวิธีการของมิจฉาชีพ ตนตั้งใจจะนำเรื่องที่เกิดขึ้นสู่สาธารณะเพื่อเตือนภัยให้กับผู้ประกอบการ โดยเฉพาะร้านอาหารทั้งหลาย มิจฉาชีพก็ใช้วิธีตามสูตรของเขาแจ้งรายละเอียดไวน์ที่ผู้ใหญ่เขาต้องการดื่ม แจ้งยี่ห้อดัง ร้านอาหารปักษ์ใต้หรือร้านทั่วไปจะมีไวน์ยี่ห้อดัง ราคาแพงได้อย่างไร พอทางร้านแจ้งว่าหาซื้อไม่ได้ก็มีการแนะนำร้านขายไวน์ให้
ซึ่งตนก็นั่งดูข้อความที่พิมพ์ตอบโต้ไปมาจนตอนหลังตนก็นำไปพิมพ์ตอบโต้เอง ในระหว่างที่คุยกับมิจฉาชีพทางไลน์ ตนก็ส่งรายละเอียดขบวนการนี้ให้เจ้าหน้าที่ตำรวจคนหนึ่งช่วยตรวจสอบด้วย ให้ช่วยหาพิกัดของไลน์มิจฉาชีพรายนี้ได้ไหม ทางตำรวจก็แจ้งว่าหาไม่ได้ตามตัวไม่เจอ
นายณัฐวุฒิ กล่าวอีกว่า ในระหว่างที่คุยกับมิจฉาชีพนั้นเขาได้อ้างชื่อบริษัทแห่งหนึ่งแถว อ.บางบัวทอง ตนเช็กแล้วบริษัทที่อ้างมีตัวตนจริง ชื่อคนที่มิจฉาชีพอ้างก็น่าจะมีตัวตนจริง น่าจะเป็นขบวนการแบบมืออาชีพ ถ้ามีร้านอาหารหลงเชื่อน่าจะสูญเงินกันเป็นจำนวนมาก ตอนนี้ตนมีแต่หลักฐานที่คุยไลน์
หลังจากที่โทรไปคุยทางมิจฉาชีพน่าจะรู้ตัวไล่ลบข้อความทางไลน์หมด แต่ตนถ่ายไว้หมดแล้ว และมีวิดีโอพูดคุย ตอนนี้อยู่ระหว่างปรึกษาเจ้าหน้าที่ตำรวจว่าจะทำอะไรได้บ้าง ตนอยากให้ขบวนการพวกนี้ได้รับโทษตามกฎหมาย และเป็นการเตือนภัยสังคมและเพื่อนร่วมประกอบอาชีพสุจริตทั้งหลาย เพื่อไม่ให้ตกเป็นเหยื่อมิจฉาชีพเหล่านี้
นายณัฐวุฒิ กล่าวต่อว่า ตนคาดหวังว่าหน่วยงานที่ดูแลเรื่องนี้จะจับให้ได้ ไล่ให้ทัน ถึงเรื่องเทคโนโลยีจะเดินไปเร็ว แต่กลไกของรัฐมีหน้าที่ต้องเดินให้เร็วกว่า จากที่ดูข่าวมันเป็นโศกนาฏกรรมของสุจริตชน หมดเงิน หมดโอกาส หมดทรัพย์สิน นอกจากรัฐจะทวงเงินคืนให้ไม่ได้ กว่าจะจับได้แต่ละรายก็ยากเย็นเหลือเกิน
ต้องฝากถึงสำนักงานตำรวจแห่งชาติ DSI หรือหน่วยงานทั้งหลายที่เกี่ยวข้อง ถ้าเครื่องมือไม่พอก็จัดหามา ตนว่าถ้าจัดหาเครื่องมือมาดักจับพวกคอลเซ็นเตอร์ หรือแก๊งกลโกงเหล่านี้ได้ประชาชนเขาจะมีความสุข ถ้าจับได้แล้วก็ต้องบังคับใช้กฎหมายขั้นสูงสุดอย่างเด็ดขาด จะได้เกิดการเอาเป็นเยี่ยงอย่างในการดำเนินการกับคนเหล่านี้
จากนั้นนายณัฐวุฒิได้อธิบายเรื่องไวน์ที่แก๊งมิจฉาชีพสั่งว่าเป็นยี่ห้อดัง ราคาขวดละ 7-8 พันบาท รวมสั่ง 4 ขวดเป็นเงินประมาณเกือบ 4 หมื่นบาท ถ้าหากินแบบนี้ร้านค้าโอนเงินไปได้หลายรายก็ได้เงินจำนวนมาก จากที่ประเมินคนร้ายน่าจะใช้โทรศัพท์สองเครื่องในการทำกลโกงแบบนี้ ทำตัวเป็นคนสั่งด้วยทำตัวเป็นร้านไวน์ด้วย
ซึ่งปัจจุบันนายณัฐวุฒิมาทำงานร้านอาหารเต็มตัวกลโกงแบบนี้มันเป็นไปไม่ได้ ร้านอาหารทั้งหลายอย่าไปหลงเชื่อ คนร้ายไม่ได้เกรงกลัวอะไรถึงจะได้ยินชื่อณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ถึงตอนนี้จะมีอาชีพเป็นแค่เด็กเสิร์ฟก็ไม่ใช่จะมาหากินได้ง่ายหรือรังแกกัน