ถ้า “ชาม” ที่ใช้มี 5 สัญญาณนี้ ควรทิ้งทันที อย่าฝืนใช้ ถ้าไม่อยากให้ทั้งครอบครัวเจ็บป่วย
มีคำกล่าวที่ว่า “โรคมาจากปาก” ไม่ได้หมายถึงแค่แค่เรื่องอาหารเท่านั้น หากอุปกรณ์การกิน เช่น ชาม ตะเกียบ ฯลฯ มีปัญหาก็อาจเป็นอันตรายได้เช่นกัน
ชามเป็นอุปกรณ์ที่จำเป็นในทุกครัวเรือน ใช้งานทุกวัน แต่กลับมีน้อยคนที่ใส่ใจในการใช้ให้ดีต่อสุขภาพ แม้แต่ชามที่มีแหล่งที่มาชัดเจนและคุณภาพดี แต่ในกระบวนการใช้งานก็อาจเกิดความเสียหาย และซ่อนภัยอันตรายจากการติดเชื้อหรือสารพิษที่อาจทำร้ายสุขภาพได้
ดังนั้นหากชามในบ้านของคุณมี 5 สัญญาณ “ไม่ปกติ” ที่กล่าวถึงต่อไปนี้ ควรทิ้งทันที อย่ามองข้ามหรือประหยัดในที่ผิดจุด เพราะมันอาจนำโรคภัยมาสู่ทั้งครอบครัว!
1. ชามมีรอยขีดข่วน หรือแตกหัก
รอยขีดข่วนหรือแตกหักเกิดขึ้นได้ง่ายในระหว่างการใช้งาน ไม่ว่าจะทำจากวัสดุใดก็ตาม โดยรอยเหล่านี้ไม่เพียงทำให้การใช้งานของชามลดลง แต่ยังอาจเป็นอันตรายต่อสุขภาพด้วย
โดยเฉพาะชามที่มีรอยขีดข่วนหรือแตกหักจะทำความสะอาดได้ยากขึ้น และสามารถเก็บน้ำหรือสิ่งสกปรกได้ดี ทำให้สารเคมีจากน้ำยาล้างจานและแบคทีเรียสะสมได้ง่าย หากชามทำจากเซรามิก รอยแตกเหล่านี้ยังอาจทำให้เคลือบเซรามิกเสียหาย ส่งผลให้ชามเกิดสนิมหรือปล่อยสารพิษออกมาปนเปื้อนในอาหาร นอกจากนี้ ยังอาจมีชิ้นส่วนแตกหลุดลงในอาหาร หรือทำให้ผู้ใช้งานได้รับบาดเจ็บได้ง่ายขึ้น
2. ชามมีสีเหลืองหรือซีด
ชามที่มีสีเหลืองหรือซีดเป็นสัญญาณที่ชัดเจนของการใช้งานมานานเกินไป หรือการเก็บรักษาที่ไม่ถูกต้อง วัสดุ เช่น เซรามิก, พอร์ซเลน หรือกระจกที่มีสีเหลืองหรือซีดมักจะทำให้สะสมฝุ่นและแบคทีเรีย ซึ่งทำให้ความปลอดภัยของอาหารลดลงเมื่อสัมผัสกับชามเหล่านั้น สารสกปรกเหล่านี้ไม่เพียงทำให้ชามสูญเสียความสวยงาม แต่ยังอาจทำให้เกิดการปนเปื้อนอาหาร จนเสี่ยงต่อการเกิดอาการอาหารเป็นพิษ หากไม่ได้ทำความสะอาดอย่างถูกต้อง
โดยเฉพาะชามที่มีชั้นเคลือบเซรามิกและมีสีเหลือง จะอันตรายยิ่งขึ้น เพราะอาจมีสารตะกั่วหรือโลหะหนักในกระบวนการผลิต และสามารถปล่อยสารพิษออกมาได้เมื่อชั้นเคลือบเสื่อมสภาพ ชามที่มีสีเหลืองมากอาจบ่งชี้ว่าชามนั้นถูกใช้มานานจนทำให้โครงสร้างของมันอ่อนแอลงและเสื่อมคุณภาพ การทิ้งชามเหล่านี้เป็นทางเลือกที่ดีที่สุด
3. ชามมีกลิ่นแปลกและทำความสะอาดยาก
หากชามในบ้านของคุณทำความสะอาดยาก หรือยังคงมีกลิ่นแปลก แม้จะล้างหลายครั้ง นั่นเป็นสัญญาณที่ชัดเจนว่าเวลาของมันหมดแล้ว สาเหตุอาจมาจากการสะสมของกลิ่นอาหาร, เชื้อรา, หรือแบคทีเรีย รวมทั้งการเสื่อมสภาพของวัสดุ หรือการปนเปื้อนของสารเคมีอันตรายและโลหะหนัก
การใช้ชามที่มีกลิ่นแปลกหรือกลิ่นสารเคมีเหล่านี้อาจทำให้สารพิษและแบคทีเรียซึมเข้าสู่อาหาร ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อรสชาติและกลิ่นของอาหารได้ และอาจนำไปสู่โรคต่างๆ ตั้งแต่ปัญหาการย่อยอาหาร, การติดเชื้อ, ปัญหาทางระบบหายใจ, การเป็นพิษจากอาหาร หรือแม้กระทั่งมะเร็งหากใช้เป็นเวลานาน
4. ชามมีราหรือเกิดเชื้อรา
ชามที่ทำจากวัสดุที่สามารถดูดซึมความชื้นได้ เช่น เซรามิก ดินเผา หรือไม้ หากเก็บไว้ในสภาพแวดล้อมที่มีความชื้นสูง อาจทำให้ชามเกิดรา หรือเชื้อราได้ ซึ่งไม่เพียงแต่ส่งผลต่อรสชาติของอาหาร แต่ยังสามารถก่อให้เกิดโรคทางระบบย่อยอาหารและปัญหาสุขภาพอื่นๆ
ราที่เกิดในชามสามารถแพร่กระจายสปอร์ที่อาจทำให้เกิดอาการแพ้หรือการติดเชื้อได้ โดยเฉพาะเชื้อราจากชามบางประเภท เช่น ชามไม้ ซึ่งอาจมีสารพิษที่เรียกว่า อะฟลาท็อกซิน (Aflatoxin) ซึ่งเป็นสารพิษที่อันตรายถึงขั้นอาจไม่สามารถมองเห็นด้วยตาเปล่า และไม่สามารถทำความสะอาดหรือทำลายได้ด้วยการล้างหรือใช้ความร้อน เมื่อบริโภคเข้าไปอาจทำให้เกิดอาการอาหารเป็นพิษ มะเร็ง และอาจถึงขั้นเสียชีวิตจากภาวะตับล้มเหลวหรือไตวายเฉียบพลัน
5. ชามมีชั้นเคลือบหลุดลอกหรือสีซีดจาง
สัญญาณที่ควรทิ้งชามทันทีคือเมื่อชั้นเคลือบของชามหลุดลอกหรือสีของลวดลายเริ่มซีดจางและผสมกันไป การหลุดลอกของชั้นเคลือบและสีนี้อาจเป็นอันตรายต่ออาหารที่สัมผัส เนื่องจากมีความเสี่ยงที่จะมีสารพิษหรือสารเคมีปนเปื้อนในอาหาร โดยเฉพาะสารตะกั่วหรือแคดเมียม ซึ่งเป็นสารอันตรายที่อาจพบในกระบวนการเคลือบชามที่ไม่ได้มาตรฐาน
เมื่อคุณรับประทานอาหารที่สัมผัสกับชั้นเคลือบเหล่านี้ สารเคมีอาจเข้าสู่ร่างกายและทำอันตรายต่อสุขภาพ โดยเฉพาะต่อการทำงานของตับ, ไต และระบบประสาท นอกจากนี้ ชิ้นส่วนของชั้นเคลือบหรือสารเคมีที่ใช้ในการทำสีอาจก่อให้เกิดปัญหาสุขภาพ เช่น อาการแพ้ หรือความผิดปกติในการย่อยอาหาร เมื่อมันปนเปื้อนในอาหารและเรากินเข้าไป