เตือนภัย อย่ากิน “ไส้เดือน” แหล่งเชื้อโรค เสี่ยงโรคระบบทางเดินอาหาร

Home » เตือนภัย อย่ากิน “ไส้เดือน” แหล่งเชื้อโรค เสี่ยงโรคระบบทางเดินอาหาร
เตือนภัย อย่ากิน “ไส้เดือน” แหล่งเชื้อโรค เสี่ยงโรคระบบทางเดินอาหาร

กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข เตือนประชาชนที่นิยมเปิบพิสดาร ไม่แนะนำให้กินไส้เดือน หวั่นได้รับเชื้อแบคทีเรียหรือเชื้อโรคเข้าสู่ร่างกาย เมื่อสะสมอยู่ในร่างกายจนเจริญเติบโตมีปริมาณที่มากขึ้น ก็อาจจะทำให้เกิดโรคติดเชื้อต่อระบบทางเดินอาหารได้

ไม่แนะนำกินไส้เดือนติบ เสี่ยงเชื้อโรค-เป็นโรคระบบทางเดินอาหาร

นายแพทย์ดนัย ธีวันดา รองอธิบดีกรมอนามัย กล่าวว่า จากกรณีเพจหมอแล็บแพนด้า ได้นำเสนอภาพหนุ่มกินไส้เดือนดิบนั้น เป็นพฤติกรรมที่ไม่ควรเลียนแบบ เนื่องจากไส้เดือนอยู่ในดิน จึงกินสิ่งปฏิกูลทุกอย่าง เช่น วัชพืช เศษอาหาร และซากสัตว์เป็นอาหาร ทำให้ระบบทางเดินอาหารของไส้เดือนมีทั้งจุลินทรีย์ แบคทีเรีย และอาจปนเปื้อนไข่พยาธิต่างๆ จึงไม่แนะนำให้นำมากินเป็นอาหาร 

โดยยิ่งเป็นการกินแบบเปิบพิสดารแล้ว ยิ่งน่ากลัว เพราะวิธีในการปรุงอาหารจะไม่ค่อยเน้นการปรุงสุกมากนัก ทำให้เสี่ยงอาหารเป็นพิษ และยังเสี่ยงที่จะทำให้แบคทีเรียหรือเชื้อโรคเข้าสู่ร่างกาย เมื่อสะสมอยู่ในร่างกายจนเจริญเติบโตมีปริมาณที่มากขึ้น ก็อาจจะทำให้เกิดโรคติดเชื้อต่อระบบทางเดินอาหารได้ เช่น ท้องเสีย อุจจาระร่วง อาหารเป็นพิษ เป็นต้น 

อีกทั้งยังไม่มีงานวิจัยที่ชัดเจนเกี่ยวกับประโยชน์หรือโทษจากการกินไส้เดือน ดังนั้น ไส้เดือนจึงไม่ใช่สัตว์ที่จัดอยู่ในประเภทที่นำมาใช้เป็นอาหารสำหรับคน เพื่อความปลอดภัยจึงไม่แนะนำให้กินเป็นอาหาร ซึ่งต่างจากเนื้อสัตว์สำหรับบริโภคอย่างเนื้อหมู เนื้อไก่ เนื้อวัว ที่ได้รับการดูแลจากกรมปศุสัตว์ในการควบคุมมาตรฐาน และคุณภาพของเนื้อสัตว์ มั่นใจด้านความปลอดภัย

แนะกินอาหารปรุงสุกอยู่เสมอ

ทั้งนี้ สำหรับคนที่ยังชอบกินอาหารดิบ หรือสุกๆ ดิบๆ แนะนำว่าให้เปลี่ยนทัศนคติ ความเชื่อหรือรสนิยมการกินอาหารของตัวเองดีกว่า เนื่องจากการกินอาหารดิบนั้นมีความเสี่ยงที่จะก่อให้เกิดโรค และอันตรายต่อสุขภาพมากกว่าอาหารที่ผ่านการปรุงสุก เพราะถ้าเรามีอาการป่วยจากการกินของดิบ นอกจากไม่เกิดประโยชน์ต่อร่างกายแล้ว ยังเกิดผลเสียที่ตามมา และโรคบางอย่างก็ไม่สามารถรักษาได้ จึงไม่คุ้มกับการบริโภค 

โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดขอโรคโควิด-19 การกินอาหารจำเป็นต้องให้ความสำคัญโดยเฉพาะการปรุงสุกที่อุณหภูมิ 70 องศาเซลเซียส นาน 5 นาทีขึ้นไป และควรเป็นอาหารที่ให้คุณค่าทางโภชนาการเพื่อเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้กับร่างกายด้วย

แท็กที่เกี่ยวข้อง

เรื่องอื่นที่น่าสนใจ