เตรียมพัฒน์ฯ ออกแถลงการณ์ ดราม่า “น้องหยก” โดนไล่ออก ชี้แจงชัดเป็นข้อๆ ไม่มีสถานะนักเรียน เหตุไม่มามอบตัว
จากกรณี น.ส.ธนลภย์ (ขอสงวนนามสกุล) หรือ น้องหยก เยาวชนหญิงวัย 15 ปี จำเลยคดีมาตรา 112 ที่มีอายุน้อยที่สุด โพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัวเล่าเหตุการณ์ถูกไล่ออกจากโรงเรียนแล้ว โดยอ้างว่ามีการบอกให้จำไว้ว่าต่อไปนี้คือบุคคลภายนอก ตั้งแต่วันที่ 13 มิถุนายน 2566
- อ่านข่าว “หยก” เยาวชนต้องคดี ม.112 โพสต์เล่าละเอียด เหตุการณ์ตอน “ถูกไล่ออกจากโรงเรียน”
ต่อมา เว็บไซต์โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาพัฒนาการ เผยแพร่แถลงการณ์ต่อกรณีดังกล่าว โดยมีนายปรีชา จิตรสิงห์ ประธานคณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาพัฒนา ลงนามในแถลงการณ์ ซึ่งเนื้อหามีใจความว่า
ตามที่ นางสาวธนลภย์ มีการเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารตามสื่อต่างๆ และช่องทางโซเชียลมีเดียนั้น คณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐานโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาพัฒนาการ สมาคมผู้ปกครองและครูโรงเรียน สมาคมนักเรียนเก่า ชมรมครูเก่า เครือข่ายผู้ปกครอง รวมถึงสภานักเรียน ขอแถลงการณ์ ดังนี้
1.นางสาวธนลภย์ สำเร็จการศึกษาชั้น ม.3 ปีการศึกษา 2565 ซึ่งเป็นการศึกษาภาคบังคับตามกฎหมาย วันที่ 1 เม.ย.2566 มารดาของน้องหยก มาบันทึกขอเลื่อนการมอบตัวเพื่อศึกษาต่อระดับชั้น ม.4 ต่อมาวันที่ 19 พ.ค. 2566 โรงเรียนได้รับรายงานตัวนางสาวธนลภย์ไว้ก่อน เพื่อรักษาสิทธิ์ในการศึกษาต่อ (หลังจากศูนย์ฝึกและอบรมเด็กและเยาวชนหญิงบ้นาปรานี จ.นครปฐม ได้ปล่อยตัวในคดี ม.112) ซึ่งในการรายงานตัวดังกล่าวไม่เป็นไปตามเงื่อนไขในการมอบตัวตามประกาศการรับนักเรียน ปีการศึกษา 2566 ซึ่งโรงเรียนอนุญาตให้นักเรียนเข้าเรียนก่อน และเน้นย้ำให้นำผู้ปกครอง (มารดา) มามอบตัวนักเรียนให้สมบูรณ์ภายในวันที่ 10 มิ.ย. 2566 ซึ่งเป็นวันสุดท้ายที่โรงเรียนจะต้องยืนยันข้อมูลจำนวนนักเรียนในระบบ DMC ของกระทรวงศึกษาธิการ
แต่นักเรียนไม่ได้ดำเนินการดักงล่าว ทำให้ไม่มีฐานข้อมูลในระบบ จึงไม่ได้เป็นนักเรียนของโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาพัฒนาการ ในปีการศึกษา 2566
2.หลังจากนางสาวธนลภย์ เข้าเรียนในวันที่ 22 พ.ค. 2566 โรงเรียนได้ชี้แจงให้รับทราบระเบียบแนวปฏิบัติตามคู่มือนักเรียน ปีการศึกษา 2566 ที่ผ่านการประชาพิจารณ์โดยภาคีเครือข่ายทุกภาคส่วน และนักเรียนทุกคนได้ปฏิบัติตามระเบียบนี้ แต่น้องหยก ไม่ปฏิบัติตามระเบียบ เช่น ไม่แต่งกายชุดนักเรียน การทำสีผม การมาเรียนตามเวลา/รายวิชาตามความพอใจของนักเรียน รวมทั้งขอไม่เข้าร่วมกิจกรรมโฮมรูม กิจกรรมหน้าเสาธง และกิจกรรมอื่นๆ ซึ่งพฤติกรรมดังกล่าวถือเป็นการไม่ยอมรับกฎระเบียบและไม่เข้าสู่กระบวนการของโรงเรียน
3.โรงเรียนขอเน้นย้ำให้ทราบว่า ไม่เคยปฏิเสธการรับนักเรียนเข้าเรียน และได้ให้การดูแลตามระบบ ดูแลการช่วยเหลือนักเรียนอย่างเต็มกำลังความสามารถ ถึงแม้นักเรียนไม่ได้ให้ความร่วมมือในการปรับปรุงพฤติกรรม ตามที่กล่าวมาแล้วข้างต้น