เด็กชายอายุแค่ 8 ขวบ ป่วยโรคเกาต์จนเดินผิดปกติ หมอรู้เมนูอาหาร 3 มื้อ ถึงกับหมดคำพูด
นายแพทย์จวง ยู่จิง จากคลินิกการแพทย์แผนจีนเฉิงเยว่ ได้แบ่งปันกรณีดังกล่าว โดยเด็กชายวัย 8 ปีนี้มีดัชนีมวลกาย (BMI) เท่ากับ 27 (ในขณะที่ BMI ที่เหมาะสมคือ 18.5 – 24.9) และมีอาการเดินกะเผลก หลังการตรวจพบว่าเด็กชายไม่เพียงแค่เป็นโรคเกาต์ แต่ยังมีโรคเรื้อรังอื่น ๆ อีกด้วย
จากการซักประวัติพบว่า เมนูอาหาร 3 มื้อของเด็กในแต่ละวันมีเพียงแค่ “หมูตุ๋น” เป็นอาหารจานเดียว
แพทย์จวง ยู่จิง ชี้ว่า โรคเกาต์เป็นสัญญาณเตือนของการเผาผลาญกรดยูริกที่ผิดปกติ ซึ่งอาหารที่ไม่เหมาะสมเป็นหนึ่งในสาเหตุหลัก การรับประทานปลา เนื้อสัตว์ ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และอาหารคุณภาพสูงในปริมาณมากเป็นประจำ อาจนำไปสู่การเกิดโรคเกาต์แบบแฝงได้ วิถีชีวิตของคนยุคใหม่ เช่น การนอนดึกและการขาดการออกกำลังกาย ยังลดประสิทธิภาพของระบบเผาผลาญและเร่งการเกิดโรคเกาต์อีกด้วย
โดยเฉพาะเมื่ออาหารถูกย่อยสลาย จะเกิดพิวรีน ซึ่งพิวรีนจะถูกเปลี่ยนเป็นกรดยูริก เมื่อกรดยูริกสะสมมากเกินไป จะทำให้เกิดโรคเกาต์ เครื่องในสัตว์ ซอส และเนื้อแดง สามารถเพิ่มความเสี่ยงต่อการเป็นโรคเกาต์ได้ เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่มีฟรุกโตสยังช่วยกระตุ้นการผลิตกรดยูริกเช่นกัน
ส่วนผักโขม เห็ด ถั่วลิสง เม็ดมะม่วงหิมพานต์ และถั่วชนิดอื่น ๆ รวมถึงวัตถุดิบที่ผ่านการหมัก เช่น โยเกิร์ต แม้ว่าจะมีพิวรีนสูง แต่แพทย์จวงระบุว่าด้วยคุณค่าทางโภชนาการของพวกมัน สามารถรับประทานได้ในปริมาณที่เหมาะสม
อย่างไรก็ตาม ผู้ป่วยที่ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรคเกาต์ ควรปรึกษาแพทย์และนักโภชนาการเพื่อพัฒนาแผนอาหารที่เหมาะสม เพื่อหลีกเลี่ยงการกำเริบของโรคเกาต์จากความผิดพลาดในการเลือกอาหาร
แพทย์จวง ยู่จิง สังเกตว่ากลุ่มคน 4 กลุ่มที่มีแนวโน้มเป็นโรคเกาต์ ได้แก่
- ผู้ที่มักมีอาการมือเท้าเย็น
- ผู้ที่มีความเครียดสูง
- ผู้ที่มีพฤติกรรมการกินที่ไม่สามารถควบคุมได้
- ผู้ที่มีน้ำหนักเกินและเป็นโรคอ้วน
นอกจากนี้ การใช้ชีวิตแบบนั่งนิ่งเป็นเวลานาน การทำงานและการพักผ่อนไม่เป็นระบบ คุณภาพการนอนที่ไม่ดี และการดื่มน้ำน้อย ล้วนเป็นปัจจัยที่ส่งผลต่อการเผาผลาญกรดยูริก
อาการของโรคเกาต์
เมื่อโรคเกาต์กำเริบ ข้อต่อจะมีอาการบวมแดง ร้อน และปวดอย่างรุนแรงในบริเวณที่เกิดขึ้น หากสงสัยว่ามีอาการของโรคเกาต์ เช่น อาการบวมและปวดบริเวณข้อต่อ ควรพบแพทย์ทันที