งานอดิเรกด้านการสะสมอัญมณีของจีนมีมาตั้งแต่สมัยโบราณจนถึงปัจจุบัน ในสมัยโบราณอัญมณีล้ำค่ามักตกไปอยู่ในมือของขุนนาง แต่ในยุคปัจจุบันใครก็ตามที่โชคดีสามารถเป็นเจ้าของสิ่งของมีค่า และสามารถเปลี่ยนชีวิตให้กลายเป็นเศรษฐีได้ชั่วข้ามคืนทีเดียว
เช่นกรณีของชายชราชาวมณฑลยูนนาน ที่ขึ้นไปบนภูเขาเพื่อเก็บฟืนออกล่าสัตว์ตามปกติ บังเอิญสะดุดก้อนหินแปลกๆ แตกต่างจากหินทั่วไปอย่างสิ้นเชิง ดูเหมือน “หมูสามชั้น” ขนาดยักษ์ที่ซ่อนอยู่ในพงหญ้า ตอนแรกเขาคิดว่ามีคนฆ่าหมูแล้วทิ้งมันไว้จึงไม่กล้าจับ แต่เมื่อเข้าไปดูใกล้ๆ ก็พบว่าไม่ใช่ซากหมู
เมื่อเห็นว่าหินนั้นทั้งสะดุดตาและแปลกประหลาด สีและรูปทรงเหมือนกับชิ้นหมูสามชั้นทุกประการ ประกอบกับความอยากรู้อยากเห็น เขาจึงตัดสินใจว่าจะนำมันกลับบ้าน อย่างไรก็ตาม เนื่องจากหินก้อนนี้ใหญ่และหนักเกินไป จึงต้องระดมความช่วยเหลือจากชายหนุ่มหลายคนในหมู่บ้านเพื่อขนมันกลับบ้าน
เมื่อชาวบ้านได้ยินข่าวนี้ก็พากันแห่กันไปดู เพราะอยากเห็นเองว่าหมูหินสามชั้นหน้าตาเป็นอย่างไร บางคนเดินทางมาจากพื้นที่ห่างไกลด้วยซ้ำ ชายชราเองก็รู้สึกมีความสุขมากๆ ยินดีให้ทุกคนเข้ามาดู และถึงกับมีคนเสนอราคาขอซื้อต่อ 100,000 หยวน (ประมาณ 5 แสนบาท) แต่สุดท้ายเขาก็ไม่ได้ตกลงขายมันให้คนกับผู้นั้น เพราะคิดว่ามันมีมูลค่ามากกว่านี้มาก
จนกระทั่งวันหนึ่ง ชายชราได้รับชมรายการ “ประเมินสมบัติ” ของสถานีโทรทัศน์กลางแห่งประเทศจีน China Central Television (CCTV) ซึ่งจะมีผู้เชี่ยวชาญช่วยตรวจสอบและประเมินมูลค่าของสิ่งของต่างๆ จึงตัดสินใจนำหินหมูสามชั้นไปขอให้ช่วยประเมิน ซึ่งทันทีที่หินถูกนำขึ้นมาแสดงบนเวที ก็สามารถทำให้ผู้เชี่ยวชาญและผู้ชมทั้งหมดประหลาดใจอย่างมาก
ผู้เชี่ยวชาญกล่าวว่านี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาได้เห็น “หินหมู” แต่หินขนาดใหญ่ขนาดนี้เป็นครั้งแรกที่ได้เห็นจริงๆ เป็นหินธรรมชาติ 100% อยู่ในกลุ่มหินตะกอน หินทราย หรือหินแปร เนื่องจากการเคลื่อนไหวทางธรณีวิทยาและการสัมผัสกับแร่ธาตุอื่นๆ หินชนิดนี้จึงถูกโครเมตทำให้เกิดสีแปลกตา มีลักษณะเหมือนชิ้นหมูสามชั้นทุกประการ ผิวหนัง ชั้นไขมัน และชั้นไม่ติดมัน หินนี้มีค่ามากและหายาก ถือได้ว่าเป็นสมบัติเลยทีเดียว
เมื่อได้ยินคำพูดของผู้เชี่ยวชาญ ชายชราก็มีความสุขอย่างมาก และในขณะเดียวกันก็อยากรู้ถึงคุณค่าที่แท้จริงของหินก้อนนี้ ผู้เชี่ยวชาญกล่าวต่อว่าหินนี้ไม่ค่อยมีคนซื้อ เพราะราคานั้นแพงมาก ก่อนหน้านี้มีคนนำหินหมูชิ้นเล็กๆ ที่คล้ายกันมาประเมิน เป็นสมบัติในสมัยราชวงศ์ชิง ซึ่งมูลค่าประเมิน ณ ขณะนั้นเกินกว่า 900,000 หยวน (ประมาณ 4.5 ล้านบาท) ไม่ต้องพูดถึงหินของชายชราซึ่งมีขนาดใหญ่กว่ามาก
แต่ไม่ว่าหินของชายชราจะมีคุณค่ามหาศาลเพียงใด ก็ต้องยอมรับว่ามีพิพิธภัณฑ์ไม่กี่แห่งเท่านั้น ที่จะยอมทุ่มเงินเพื่อต้องการรวบรวมมันไปจัดแสดง ดังนั้น ผู้เชี่ยวชาญจึงแนะนำชายชราว่าราคา 100,000 หยวน (ประมาณ 5 แสนบาท) ซึ่งมีผู้ติดต่อขอซื้อก่อนหน้านี้นั้น ถือเป็นราคาที่ดีในการขายแล้ว มิฉะนั้น อาจจะไม่มีใครยอมจ่ายเงินจำนวนมากกว่านี้เพื่อซื้อมัน
อย่างไรก็ตาม ชายชราไม่ได้เชื่อตามที่ผู้เชี่ยวชาญแนะนำ เพราะยังเชื่อมั่นว่ายิ่งเก็บหินนี้ไว้นานเท่าไร มูลค่าของมันก็จะเพิ่มขึ้นตามไปด้วย เขาจึงตัดสินใจเก็บไว้ให้ลูกๆ หลานๆ ใครจะรู้บางทีมันอาจจะมีประโยชน์ในอนาคตมหาศาล ช่วยให้ลูกๆ หลานๆ เอาชนะความยากลำบากได้