เจ้าสาวหนัก 20 กก. พบรักกับหนุ่มหล่อตัวสูง แม่เล่าบีบหัวใจ ลูกผ่านความเจ็บปวดมากมาย ส่วนแม่เจ้าบ่าวไม่คัดค้าน แถมให้คำสอนดีๆ
เรื่องราวความรักของหญิงสาววัย 20 ปี ชาวด่งนาย ทางภาคตะวันออกเฉียงใต้ของประเทศเวียดนาม ที่มีน้ำหนักตัวเพียง 20 กิโลกรัม และความสูงประมาณ 100 เซนติเมตร เพิ่งเข้าพิธีวิวาห์กับแฟนหนุ่มไปเมื่อวันที่ 24 กันยายน ที่ผ่านมา ท่ามกลางคำอวยพรของเพื่อนบ้านให้ทั้งคู่มีความสุขไปนับร้อยปี เพราะพวกเขาต่างรู้ดีว่ากว่าที่เธอจะมีความสุขเช่นทุกวันนี้ ต้องเอาชนะความยากลำบากและความท้าทายมากมายในชีวิต
ตามรายงานพบว่า เจ้าสาวเกิดมาพร้อมกับความพิการที่แขนข้างหนึ่ง และปากแหว่งเพดานโหว่ ทำให้มีปัญหาในการสื่อสาร อีกทั้งยังตัวเล็กลงและดูอ่อนแอเมื่อเปรียบเทียบกับเพื่อนในวัยเดียวกัน โดยผู้เป็นแม่เล่าถึงวันที่ลูกสาวเกิดมาพร้อมกับความโศกเศร้าอย่างบอกไม่ถูก
“ตอนที่ตั้งท้อง ฉันไปตรวจสุขภาพก่อนคลอด ไม่พบว่ามีอาการน่ากังวลใดๆ แต่เมื่อคลอดพยาบาลเห็นว่าลูกของฉันมีอาการผิดปกติ ฉันจำได้ว่าเธอพาลูกออกไปให้แม่ของฉันดูแล และหลังจากผ่านมา 3 วัน ฉันถึงทราบอาการของลูกสาวว่าไม่มีแขน ปากแหว่ง เพดานโหว่ มีรูจมูกข้างเดียว ในเวลานั้นแม้แต่พ่อของฉันก็เกือบจะเป็นลมกับความจริงอันเจ็บปวด”
ต่อมา เมื่อลูกสาวอายุ 8 เดือน เธอได้ยินเกี่ยวกับโครงการศัลยกรรมริมฝีปากเพื่อการกุศลที่โรงพยาบาลเด็ก จึงตัดสินใจลงทะเบียนจนลูกได้เข้ารับผ่าตัดประสบความสำเร็จ มีโอกาสกลับไปใช้ชีวิตตามปกติเหมือนเด็กคนอื่นๆ สามารถกินและดื่มนมได้อย่างเต็มที่ อย่างไรก็ตาม เมื่อลูกอายุ 4 ขวบ กลับต้องเข้าโรงพยาบาลอีกครั้งเพื่อรับการผ่าตัดหัวใจ ตลอดช่วงวัยเด็กลูกสาวต้องเข้าโรงพยาบาลหลายครั้ง ร่วมกับการรับประทานยาและฉีดยาอย่างต่อเนื่อง
ทั้งนี้ แม้จะมีความยากลำบากและอุปสรรคต่างๆ เข้ามาในชีวิต แต่ก็ไม่ยอมแพ้ต่อโชคชะตาของเขา เธอใช้ความพยายามในการศึกษา เพื่อเอาชนะความรู้สึกต่ำต้อยและความรู้สึกด้านลบ ส่วนด้านความรัก เรื่องราวความรักที่สวยงามและมีความหมายเกิดขึ้นในเวลาสั้นๆ ช่วงการระบาดของไวรัสโควิด-19 เริ่มจากตัดสินใจเข้าโซเชียลเน็ตเวิร์กในเวลาว่างๆ เพื่อค้นหาความบันเทิงและผูกมิตรกับผู้คน แต่ชีวิตของเธอกลับเปลี่ยนไปอย่างไม่คาดคิด หลังจากได้รับข้อความจากชายหนุ่มคนหนึ่งที่อาศัยอยู่ในเมืองเดียวกัน
ผู้ชายคนนี้มีรูปร่างสูงใหญ่และหน้าตาที่ดูดี ไม่เพียงแต่ดึงดูดเธอจากรูปร่างหน้าตาภายนอกของเขาเท่านั้น แต่ยังดึงดูดด้วยจิตวิญญาณที่อบอุ่นและความเห็นอกเห็นใจผู้อื่น ในตอนแรกการสนทนาเป็นเพียงคำถามอย่างสุภาพ เกี่ยวกับสถานการณ์การแพร่ระบาดและชีวิตประจำวัน อย่างไรก็ตาม ต่อมาการแชทคุยกันกลายเป็นส่วนสำคัญในชีวิตประจำวันของทั้งคู่ พวกเขารู้สึกใกล้ชิดกันมากขึ้นเรื่อยๆ ค่อยๆ กลายมาเป็นเพื่อนที่พิเศษของกันและกัน พร้อมรับฟังและให้กำลังใจเสมอเมื่อจำเป็น เริ่มแบ่งปันความคิดและความรู้สึกที่แท้จริงของตนเอง
เมื่อการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ลดลงและผู้คนเริ่มกลับมาใช้ชีวิตปกติ ทั้งคู่จึงตัดสินใจนัดพบกันครั้งแรก ทำให้ตระหนักได้อย่างชัดเจนว่าความรู้สึกของพวกเขาได้พัฒนาไปสู่ความสัมพันธ์พิเศษ ยิ่งเวลาผ่านไปความรักยังคงเติบโตและแข็งแกร่งยิ่งขึ้น และหลังจากออกเดทกันมาเกือบครึ่งปี ฝ่ายชายก็ตัดสินใจพาแฟนสาวไปพบกับครอบครัวของเขา ก่อนจูงมือกันเข้าพิธีวิวาห์เมื่อวันที่ 24 กันยายน ที่ผ่านมา
แม่ของเจ้าบ่าวเล่าว่า ตอนที่ลูกชายพาแฟนสาวมาพบที่บ้าน และบอกอย่างตรงไปตรงมาเกี่ยวกับสถานการณ์ของแฟนสาว เมื่อได้ยินเรื่องราวความเป็นมาทั้งหมด เธอก็แปลกใจเล็กน้อยและแนะนำให้ลูกชายคิดให้รอบคอบก่อนแต่งงาน
“ฉันบอกลูกว่าขึ้นอยู่กับเขาที่จะตัดสินใจว่าจะแต่งงานกับใคร เพราะผู้หญิงคนนั้นจะใช้ชีวิตที่เหลือกับเขา ฉันยังแสดงความเห็นอย่างตรงไปตรงมาว่าหากแต่งงานกับคนพิการ เขาต้องดูแลและใช้ชีวิตร่วมกับคนพิการไปตลอดชีวิต เหนือสิ่งอื่นใดเขาต้องคอยให้กำลังใจคู่ชีวิต เพราะโชคชะตาของเสียเปรียบคนอื่นมากมาแต่ต้น เมื่อได้ยินเช่นนั้น ลูกชายก็ยิ่งตั้งใจที่จะแต่งงานกับแฟนสาวมากขึ้นไปอีก ฉันเองก็รู้สึกชอบเธอ ฉันเลยพยักหน้าเห็นด้วย”
แม่สามีก็มีคำพูดดีๆ เมื่อนึกถึงลูกสะใภ้ บอกว่าเธอคล่องแคล่ว กระตือรือร้น และฉลาด และหวังว่าลูกๆ ของเธอจะสร้างครอบครัวที่เข้มแข็ง “สามีฉันเสียชีวิตเร็วเมื่อ ตอนนั้นลูกอายุ 13 ปี ฉันเลี้ยงลูกคนเดียวจึงเข้าใจความยากลำบากทั้งทางร่างกายและจิตใจอย่างถ่องแท้ ได้แต่หวังว่าเขาจะมีครอบครัวเล็กๆ ที่สมบูรณ์ มีสามีภรรยาที่รักกันไปจนวาระสุดท้ายในชีวิต ส่วนความคิดเห็นของชาวบ้าน ไม่ว่าพวกเขาจะพูดอะไร ฉันอยู่เพื่อตัวเองและลูกๆ ของฉัน”
ทั้งนี้ แม้จะมีผู้คนมามายร่วมแสดงความยินดีกับคู่รัก แต่ก็มีคนนินทาและมีข้อสงสัยเกี่ยวกับการแต่งงานครั้งนี้ แต่ลุงของเจ้าสาวมักจะบอกให้เธออย่าไปสนใจ แนะนำว่าให้ครอบครัวและคนที่รักเธอก็พอ โดยลุงเปิดใจว่า “นั่นคือชะตากรรมของเธอ เธอด้อยโอกาสมาตั้งแต่เด็ก แต่ตอนนี้มันเป็นเรื่องปกติที่จะมีคนที่รักเธอ ทำไมคนพวกนั้นต้องหยาบคายขนาดนี้”
ในส่วนของเจ้าบ่าวหนุ่ม เขาประกาศว่ายินดีที่จะอุ้มภรรยาไปตลอดชีวิต ตอนแรกเขาชื่นชมหญิงสาวคนนี้เพราะบุคลิกที่เข้มแข็งของเธอ แล้วต่อมาก็ตกหลุมรักโดยไม่รู้ตัว ผมไม่สนใจรูปร่างหน้าตาของเธอ แค่ต้องการให้เราสองคนรักกันจริงๆ ก็พอแล้ว ”
ขณะที่เจ้าสาวเปิดใจว่า “เขาเป็นคนธรรมดาไม่มีข้อบกพร่องใดๆ เขาดูฉลาดมาก ทำงานหนัก และรักฉันจริงๆ…. ใครๆ ก็บอกว่าฉันแต่งงานเร็วเกินไป อายุแค่ 20 ปีเท่านั้น ฉันยิ้มแล้วตอบว่าหากโชคชะตามาถึง ถ้าเรารักกันอย่างจริงใจ ไม่สำคัญว่าเราจะแต่งงานกันตอนอายุเท่าไหร่”
แม้จะเจอความยากลำบาก แต่ทั้งคู่ก็ยืนยันอย่างมั่นใจว่าพยายามสร้างครอบครัวที่มีความสุขให้ดีที่สุด แล้วจึงจะพิจารณาเรื่องการมีลูกในอนาคตด้วย เชื่อว่าความรักและความรับผิดชอบของทั้งคู่จะช่วยทำให้ครอบครัวเข้มแข็ง ตราบใดที่สามีและภรรยายังจับมือกัน พร้อมเผชิญความยากลำบากมากมาย และยืนยันว่าคำวิจารณ์จากโลกภายนอกไม่ส่งผลกระทบต่อพวกเขา เพราะสำหรับทั้งคู่ความสุขและความรู้สึกส่วนตัวจะเป็นเครื่องพิสูจน์ของความรักครั้งนี้