เจ้าบ่าวเปิดใจ ไม่ได้เทงานแต่ง ขอเลื่อนเพราะโควิด แต่เจ้าสาวจัดการเองหมด โดยไม่ปรึกษา เผยตอนคบกันตามใจทุกอย่าง ไม่เคยขัดใจ
จากกรณีคู่บ่าวสาวกำลังจะเข้าพิธีวิวาห์ เตรียมงานทุกอย่างไว้หมดแล้ว แต่กลับถูกเทงานแต่งฟ้าผ่า ครอบครัวฝ่ายเจ้าบ่าวขอยกเลิกงานแต่ง ด้วยเหตุผลไม่มีเงินสินสอด ขณะที่ตัวเจ้าสาวติดต่อเจ้าบ่าวไม่ได้ ทำให้คิดอยากจะลาโลก หลายคนคาใจพุ่งเป้าไปที่แม่เจ้าสาวทำนองว่าเรียกสินสอดแพงเกินไปหรือไม่ ทำให้เจ้าบ่าวตัดสินใจทำแบบนี้ ตามที่ข่าวนำเสนอไปแล้วนั้น
ล่าสุดวันที่ 23 พ.ย. 64 นายกฤษฎา อายุ 27 ปี เปิดเผยว่า ตนกับฝ่ายหญิงได้คบหากันมาเป็นระยะเวลาประมาณ 9 ปี ตลอดเวลาที่คบกัน ตนได้ช่วยเหลือดูแลฝ่ายหญิงมาโดยตลอด ไม่ว่าจะซักผ้า ล้างจาน ซื้อกับข้าว ทั้งที่บ้านตนไม่เคยทำ ตามใจทุกอย่าง เพื่อไม่ให้มีปัญหา แก้ไขตัวเองในทุก ๆ เรื่อง ยอมปรับเปลี่ยนจนในบางครั้งรู้สึกไม่เป็นตัวของตัวเอง อยากไปไหนทำอะไร หรือแม้กระทั่งมากินข้าวกับครอบครัวก็ไม่ค่อยจะได้มาต้องอยู่กับฝ่ายหญิงตลอดเวลา ถ้าไม่ได้อยู่ด้วยกันก็ต้องคุยโทรศัพท์ด้วยตลอดเวลา
โดยเราทั้งคู่ไม่ได้มีฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดไปมีคนอื่นฝ่ายหญิงมีความจิงจังกับตนเองมาก มีความตั้งใจที่จะสร้างครอบครัวด้วยกัน แต่ในช่วง 3 ปี ที่ผ่านมานั้น ฝ่ายหญิงได้พูดเรื่องที่จะแต่งงานมาโดยตลอด เพราะฝ่ายหญิงได้พูดว่า เลข 7 เป็นเลขอาถรรพ์ กลัวจะเลิกกัน จึงอยากจะแต่งงาน จดทะเบียนสมรสกันจึงขอให้พ่อแม่ฝ่ายชายมาสู่ขอ อยากมีครอบครัว อยากอยู่ด้วยกัน ซึ่งตนก็รู้ว่าครอบครัวที่บ้านยังไม่พร้อม ด้วยเศรษฐกิจปัจจุบันและโรคโควิดที่กำลังระบาดทำให้ที่ร้านไม่ค่อยมีลูกค้า ขาดสภาพคล่องทางการเงิน
ตนจึงไม่ได้นำเรื่องที่ฝ่ายหญิง เร่งรัดเรื่องงานแต่งงานมาคุย เพราะไม่อยากให้พ่อแม่ไม่สบายใจ เรื่องทั้งหมดนั้นตนได้เก็บไว้ฝ่ายเดียว และได้ตอบกลับฝ่ายหญิงไปว่า พ่อแม่ยังไม่ว่าง ได้หาเหตุผลต่าง ๆ เพื่อเลื่อนการสู่ขอออกไป ซึ่งตนก็ไม่ได้มีงานประจำ ทำงานที่ร้านกับพ่อ เงินที่ใช้จ่ายก็ยังเป็นเงินกงสี ไม่ได้มีเงินเดือน
กระทั่งล่าสุดคือฝ่ายหญิงบอกว่าถ้ายังไม่มาสู่ขอ ก็จะเลิก และมีการทะเลาะกันบ้างแต่ก็ไม่รุนแรง และสุดท้ายตนก็ยอม ได้มาคุยกับพ่อแม่ และมีการตกลงเรื่องสินสอดกัน หลังจากนั้นฝ่ายหญิงได้ก็ได้จัดการในเรื่องการถ่ายพรีเวดดิ้ง การหาฤกษ์แต่งงาน และจองจัดเตรียมงานทุกอย่าง ซึ่งในตอนนั้นตนคิดว่าคงจะสามารถหาเงินสินสอดมาได้ แต่พอในช่วงนี้ เศรษฐกิจย่ำแย่ และตนก็รู้ดีว่าพ่อแม่ไม่พร้อม แต่อีกใจหนึ่งตนเองก็สงสารฝ่ายหญิงเพราะฝ่ายหญิงได้เตรียมพร้อมในเรื่องต่างไว้
โดยเมื่อฝ่ายหญิงไปหาฤกษ์แต่งงานนั้น ทางพ่อและแม่ได้ขอเลื่อนงานแต่งงานไปก่อนเนื่องจากยังไม่มีค่าสินสอด รวมไปถึงตอนนี้อยู่ในช่วงโรคโควิดระบาด แต่หากสถานการณ์ดีขึ้นแล้วก็จะจัดการเลี้ยง งานแต่งงานให้เหมือนเดิม แต่ทางฝ่ายหญิงได้มาปรึกษาพูดคุยกับตนเองว่า ขอให้ไปจดทะเบียนสมรสกันในวันที่ 14 พฤศจิกายน และเอาสินสอดมามอบให้ตนเอง และไปถ่ายรูปเก็บไว้ โดยจะมีการไปถ่ายภาพกันในสตูดิโอแห่งหนึ่ง โดยมีการนำเอาเงินสินสอดมาวาง และเอาทะเบียนสมรสมาถ่ายภาพที่สตูดิโอ โดยที่ฝ่ายหญิงเป็นฝ่ายที่เตรียมการทั้งหมด
โดยในตอนนั้น ตนรู้อยู่แล้วว่าไม่มีสินสอดที่จะเอาไปให้ฝ่ายหญิง และคิดไว้แล้วว่าจะไม่มีการจดทะเบียนสมรส หรืองานแต่งงานใดๆทั้งสิ้น โดยตนเองคิดว่าจะจบปัญหาทั้งหมดโดยการจบชีวิตตัวเอง แต่เมื่อฝ่ายหญิงรู้ว่าทางฝ่ายชายจะไม่มาจดทะเบียนสมรส จึงจะฆ่าตัวตาย และโทรให้กู้ภัยมารับเพื่อพาไปหาหมอ ซึ่งตนเมื่อทราบก็ได้รีบไปที่โรงพยาบาลทันที และทางแม่ของฝ่ายหญิงได้บอกกับตนเองว่า ถ้าไม่มีสินสอดมาก็ขอจบกันเพียงเท่านี้เพราะไม่สามารถเลี้ยงดูลูกของตนได้
หลังจากนั้นในวันที่ 12 พฤศจิกายน ตนเองก็ได้คิดจะจบชีวิตตัวเองเพื่อจบปัญหาต่าง ๆ และไม่อยากรับรู้เรื่องทั้งหมด โดยการขับรถออกจากบ้านไปนอนที่ชายทะเล สุดท้ายคลื่นก็ซัดไปอยู่บริเวณหน้าวัดแห่งหนึ่งจนได้ไปอาศัยอยู่ที่วัดจนถึงวันที่ 15 พฤศจิกายน จนพี่สาวตนไปตามหาจนเจอ เพราะตนได้เอารถไปจอดไว้บริเวณชายทะเล
ตลอดระยะหลังๆ มา ตนเองไม่เคย ได้จับมือถือเลย ฝ่ายผู้หญิงจะเป็นคนถือและคอยโพสต์โน้นนั้นนี้อยู่ตลอด และบางครั้ง มีญาติ ๆ เข้ามาคอมเมนต์หยอกล้อ ก็จะโดนด่าตอบไป ทำให้หลายคนแปลกใจเพราะนิสัยตนไม่ได้เป็นคนก้าวร้าว และมารู้ความจริง ก็หลาย ๆเรื่องประดังออกมา ซึ่งทุกคนก็ดีใจที่ตนได้เป็นอิสระ ส่วนเรื่องจะแจ้งความก็ว่ากันไปในอนาคต
ด้าน แม่ของฝ่ายชาย เปิดเผยว่า แม่และพ่อรับรู้ว่าทั้งคู่คบกัน ไม่เคยขัดใจอะไรลูก ตามใจลูก ไม่ว่าลูกจะทำอะไร และจากภายนอกที่เห็น ก็เห็นว่าทั้งคู่ก็รักกันดี ทั้งคู่คบกันนั้นตนก็ไม่เคยเข้าไปวุ่นวายอะไรกับลูก และในช่วงที่เข้ามาคุยเรื่องที่จะให้ไปสู่ขอฝ่ายหญิงนั้น ตนเองก็ขอผลัดลูกไปหลายๆครั้งเพราะ พ่อกับแม่ยังไม่พร้อม ซึ่งน้องก็เข้าใจเพราะทำงานที่บ้านก็จะรู้เรื่องงาน เรื่องการเงินของที่บ้านเป็นอย่างดี และตนได้บอกไปว่าถ้าทุกอย่างพร้อม สินสอดพร้อมก็จะไปสู่ขอ และจัดการเรื่องแต่งงาน แต่ไม่เคยห้ามไม่ให้คบกัน
ล่าสุดนั้นทางได้มาบอกตนว่าให้ไปพูด ไปคุยกับทางฝ่ายหญิง เพราะฝ่ายหญิงเรียกไม่แพง เพราะทางแม่ฝ่ายหญิงได้บอกว่าแล้วแต่ฝ่ายชายจะให้ เพราะรู้ว่าทางครอบครัวเราอยู่กันยังไง สภาพครอบครัวเป็นยังไง ก็เลยตัดสินใจไปพูดคุยกับฝ่ายหญิง เมื่อไปพบทางฝ่ายหญิงเรียกสินสอดเป็นจำนวนเงินและทอง เกือบ 1 ล้านบาท ซึ่งตนก็ได้ต่อรองในส่วนของสินสอดเพราะเป็นจำนวนเงินที่มาก เพราะทางครอบครัวเราก็หาเช้ากินค่ำ ทางฝ่ายหญิงก็ได้ลดให้
เมื่อกลับมาจากที่ไปคุยกับฝ่ายหญิง ตนเองและสามีก็ได้บอกกับลูกว่า ว่าช่วงนี้เป็นช่วงโควิดจัดงานอะไรไม่ได้ รายได้ก็ไม่ค่อยดี ขอผลัดลูกไปสักปีหน้า และค่อยจัดงานใหญ่ทีเดียว แค่ขอเลื่อนไม่ได้ยกเลิกงาน และในส่วนที่จะไปจดทะเบียนกันนั้น ทางพ่อและแม่ไม่รู้เรื่องเพราะไม่ได้มาปรึกษาหรือบอกกล่าวใดๆทั้งสิ้น ว่าจะทำอะไร แต่ในช่วงที่ไปถ่ายพรีเวดดิ้งนั้น ลูกก็ได้มาเล่าให้แม่ฟัง โดยตนเองก็ได้เตือนลูกไปว่า ทำอะไรให้ประหยัดๆ อะไรที่ไม่จำเป็นก็อย่าไปทำ เพราะเงินทองไม่มี และในส่วนเรื่องงานแต่งงานนั้น
พ่อกับแม่ขอเลื่อนไปก่อนเพราะยังเงินสินสอดยังไม่ครบและในช่วงนี้เป็นช่วงโควิดการจัดงานในช่วงนี้ก็ลำบาก และทางน้องเกมส์คงไปบอกฝ่ายหญิง และฝ่ายหญิงได้ลงเฟสว่า “ขอเลื่อนงานแต่งงานนะคะ” เมื่อพ่อและแม่เห็นก็สบายใจเพราะลูกเข้าใจ แต่เรื่องที่จะจดทะเบียนกันเอาสินสอดไปให้นั้น ทางน้องเกมส์ไม่ได้มาคุยมาปรึกษา จนรู้เมื่อแม่ทางฝ่ายหญิงโทรมาต่อว่าตนเองเรื่องการเลื่อนงานแต่งงาน
หลังจากที่เกิดเหตุการณ์ดังกล่าวตนเองได้คุยกับลูกว่าจะเอายังไงต่อ ลูกได้บอกว่าขอจบทุกอย่าง ไม่ไปต่อ แต่ตนเองก็ได้สังเกตดูลูกมาโดยตลอดเห็นว่าลูกหน้าตาไม่ยิ้มแย้ม ไม่ค่อยพูดคุย ก็รู้ว่าลูกคงมีความทุกข์มากแต่ไม่ยอมเล่าให้ฟัง และในวันที่ 12 ที่น้องหายไป ทางบ้านได้ตามหา วันที่ไปเจอนั้น ตัวน้องได้บอกว่าสิ่งที่ตนเองทำไปการคิดลาโลกนั้น ไม่ได้ทำไปเพราะประชดพ่อและแม่ แต่แค่เพียงต้องการจบปัญหาทั้งหมดที่ตัวเอง เรื่องราวทั้งหมดไม่อยากให้พ่อและแม่รับรู้เรื่องไม่ดี
ขณะที่ พี่สาวนายกฤษฎา กล่าวว่า ก่อนหน้านี้ตนเองไม่เคยรู้เรื่องการเลื่อนงานแต่งงาน มาก่อนจนเมื่อวันที่ 12 พฤศจิกายน แม่ได้โทรมาบอกว่าน้องชายหายไป ตนเองจึงได้มาอยู่กับแม่ และในคืนวันที่ 12 นั้นน้องชายก็ไม่ได้กลับบ้าน ซึ่งในวันนั้นทางฝ่ายหญิงได้โทรหาตนเอง และตนเองได้สอบถามไปว่าบอกได้มั้ยว่าที่อยู่ที่ไปอยู่ด้วยกันนั้นอยู่ตรงไหน เพราะตนเองก็กลัวว่าน้องชายจะคิดสั้นฆ่าตัวตาย เพราะก่อนหน้านี้น้องชายได้พูดเป็นลางกับแม่อยู่ตลอดว่า ไม่รู้จะอยู่ถึงวันแต่งงานหรือเปล่า
ตนเองต้องการหาน้องชายให้เจอเพราะทุกคนที่บ้านเป็นห่วง หลังจากนั้นก็ได้ลงเฟซ ประกาศหาน้องชายจนเจอ หลังจากนั้นทางฝ่ายหญิงได้โทรมาและถามว่าจะเอายังไงและเจอน้องหรือยัง ซึ่งตนได้บอกว่าขอคุยกับทางน้องก่อน ซึ่งในระหว่างนั้น ทางฝ่ายหญิงได้เสนอว่าถ้าทางฝ่ายชายจบ ฝ่ายหญิงก็จบ เพราะแม่ฝ่ายหญิงได้บอกว่าอยากให้ลูกสาวตนมีชีวิตใหม่ และได้โทรไปคุยกับแม่ เพราะทางฝ่ายหญิงได้บอกมาแบบนี้ ซึ่งทางน้องก็ได้บอกว่าจบ และสิ่งที่เราพูดคุยกันในครอบครัว คือทางฝ่ายหญิงโทรมาว่าพ่อของฝ่ายหญิงไม่ยอมและจะไปแจ้งความ จะคุยกันที่โรงพักอย่างเดียว ซึ่งจากที่นัดกันก็ได้เลื่อนมาโดยตลอดและยังไม่ได้มีการพูดคุยกัน