เจ้าของโกดังชาบูเปิดใจทั้งน้ำตา จำใจเลิกกิจการ-ยื้อไม่ไหว ชีวิตลำบาก-ไร้ค่านมลูก

Home » เจ้าของโกดังชาบูเปิดใจทั้งน้ำตา จำใจเลิกกิจการ-ยื้อไม่ไหว ชีวิตลำบาก-ไร้ค่านมลูก


เจ้าของโกดังชาบูเปิดใจทั้งน้ำตา จำใจเลิกกิจการ-ยื้อไม่ไหว ชีวิตลำบาก-ไร้ค่านมลูก

เจ้าของโกดังชาบูเปิดใจทั้งน้ำตา จำใจเลิกกิจการ-ยื้อไม่ไหว ชีวิตลำบาก-ไร้ค่านมลูก เผยเจอพิษเศรษฐิจ ข้าวของราคาแพง สามีก็เครียดหนัก

จากกรณี “ร้านโกดังชาบู” ไลฟ์ทั้งน้ำตา ขอโทษลูกค้า ที่ต้องปิดกิจการ หลังยื้อไม่ไหว จากสภาพเศรษฐกิจที่ข้าวของราคาแพงอย่างหนัก

ความคืบหน้าเรื่องนี้ เมื่อวันที่ 2 ก.พ.65 ข่าวสดออนไลน์ เดินทางมาที่ร้านโกดังชาบู ซอยวุฒากาศ 6 ย่านตลาดพลู กทม. พูดคุยกับ นางมธุรา อดเหนียว หรือ พี่แก้ว อายุ 30 ปี เจ้าของร้านชาบู เล่าทั้งน้ำตาว่า

“เหตุผลที่ต้องเซ้งร้าน ขายกิจการ เพราะสุดทางแล้วจริงๆ ไม่มีทุนจะลงของ ขายวันต่อวันแล้ว ตอนนี้ของก็แพงอีก หลังร้านกลับมาเปิด เงินก็ติดลบ ขายได้ก็ต้องใช้หนี้ ต้องนำเงินเก็บออกมาใช้ จนเงินเป็นศูนย์”

2 ปีที่ผ่านมา สามีเครียดหนัก จนเป็นโรคซึมเศร้าโดยไม่รู้ตัว เก็บตัวเงียบในห้องคนเดียว ไม่ยอมกินข้าว สามีเป็นแบบนี้ ไม่รู้จะปรึกษาใคร เหมือนขาดเสาหลักครอบครัว และที่เจ็บปวดสุด สามีส่งคลิปไปให้ลูกสาวคนโตเพื่อร่ำลา ทำให้ตนต้องเฝ้าอยู่ใกล้ๆไม่ห่าง กลัวสามีจะคิดสั้น จึงบอกลูกสาวไปว่า “เดี๋ยวแม่จะขายร้าน เอาเงินไปรักษาพ่อ”

เมื่อปีที่แล้วที่ร้านปิด ก็มีออเดอร์ข้าวกล่อง จากลูกค้าเข้ามา ร้านอยู่ได้เพราะข้าวกล่อง จนรัฐบาลให้เปิดนั่งกินในร้านได้ ตนก็สู้ แต่พอเริ่มขายก็เริ่มแย่ ยื้อแล้ว ไม่รู้จะไปต่อยังไง

ตอนแรกที่ร้านกลับมาเปิด ก็ขายราคาเดิม ช่วยกันแบกแล้วแบกอีก สู้แล้วสู้อีก จนมาเจอหมูขึ้นราคา น้ำมันก็แพง ทุกอย่างแพงไปหมด จนต้องจำใจปรับราคาขึ้น แต่พอลูกค้ามาถึงร้าน เห็นร้านขึ้นราคา ก็หันหลังกลับ

พี่แก้ว บอกอีกว่า ตอนนี้เป็นหนี้ค่าไฟหลักแสน เพราะ 2 – 3 เดือนที่ผ่านมา ไม่มีเงินจ่ายค่าไฟ ไม่รู้ว่าเขาจะเข้ามาตัดไฟตอนไหน ระหว่างคนมาซื้อกิจการ ตอนนี้ก็ขายน้ำจิ้ม รับออเดอร์ข้าวกล่อง หาเงินไปก่อน เพราะยังมีอีกหลายชีวิตต้องดูแล ต้องดูแลลูกน้องที่นอนกันที่ร้าน

“ไม่อยากเซ้งร้าน ขายร้าน สามีกับหนูสู้กันมา 8 – 9 ปี ตั้งแต่เป็นร้านก๋วยเตี๋ยว แบกลูกไปขายของด้วย สู้กันมาไม่อยากให้ลูกลำบาก แต่ตอนนี้ค่านมลูก ยังไม่ค่อยจะมี ลูกใส่รองเท้าคู่เก่าคับๆ บอกว่า “แม่เจ็บเท้า” ก็ได้แต่บอกลูกว่า “เดี๋ยวแม่ซื้อให้นะ”

หลังพูดคุยกันเสร็จ ทีมข่าวได้เคาะประตูบอกกับพี่ตึ๋ง สามีของพี่แก้ว เพื่อให้กำลังใจ หลังจากนั้น พี่ตึ๋งก็เดินออกมา บอกกับทีมข่าวว่า “ขอบคุณมากนะครับ” ซึ่งจังหวะนั้นพี่แก้วได้เดินเข้าไปกอดสามี ด้วยความเป็นห่วง หลังสามีเก็บตัวเงียบ เกือบ 1 อาทิตย์ ไม่ยอมออกมาจากห้อง

 

แท็กที่เกี่ยวข้อง

เรื่องอื่นที่น่าสนใจ