อันตรายจาก “แอร์ปรับอากาศ” หากสกปรก-ไม่ล้างนานเกินไป

Home » อันตรายจาก “แอร์ปรับอากาศ” หากสกปรก-ไม่ล้างนานเกินไป
อันตรายจาก “แอร์ปรับอากาศ” หากสกปรก-ไม่ล้างนานเกินไป

ในภูมิอากาศแบบบ้านเรา โดยเฉพาะในเมืองที่อยู่ในสิ่งก่อสร้างคอนกรีต ต้นไม้น้อย และอยู่กันอย่างแออัด คงไม่สามารถอยู่ในบ้านได้โดยไม่มีแอร์ ที่กลายเป็นเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ขาดไม่ได้ไปแล้ว แต่แอร์ที่คอยเป่าลมเย็นๆ ให้เราต้องได้รับการดูแลให้สะอาด และอยู่ในสภาพดีอยู่เสมอ เพราะหากแอร์สกปรกมากเกินไป อาจเป็นสาเหตุของโรคที่อันตรายต่อร่างกายได้

 

อันตรายของแอร์ที่สกปรก ไม่ได้ล้างทำความสะอาดนานเกินไป

นายแพทย์ดนัย ธีวันดา รองอธิบดีกรมอนามัย ระบุว่า ภายในแอร์มีความชื้นมาก และอาจเป็นสาเหตุให้เชื้อโรคเจริญเติบโต โดยเฉพาะเชื้อแบคทีเรียลิจิโอเนลลานิวโมฟิวลา หากหายใจเอาละอองน้ำที่มีเชื้อนี้ปนเปื้อนเข้าไป จะส่งผลกระทบต่อสุขภาพได้

>> 5 โรคร้ายจากห้องแอร์ ภัยอันตรายชีวิตคนเมือง

>> อันตรายเสี่ยงโรคร้าย จากการไม่ล้างแอร์-ตู้เย็น

>> ระวัง! เปิดแอร์หน้าร้อน เสี่ยงป่วยสารพัด

>> ระวัง! แอร์รถยนต์สกปรก ราขึ้นรถ สาเหตุสุขภาพพัง

 

อาการติดเชื้อลิจิโอเนลลานิวโมฟิวลา

ลักษณะอาการหากร่างกายติดเชื้อลิจิโอเนลลานิวโมฟิวลา มี 2 แบบคือ

  1. โรคลิเจียนแนร์ มีอาการปอดอักเสบรุนแรง จะมีอาการไข้ขึ้นสูง ไอ หนาวสั่น
  2. ไข้ปอน ตีแอกหรือปอนเตียก มีลักษณะคล้ายไข้หวัดใหญ่

 

วิธีทำความสะอาดแอร์ให้สะอาด ปลอดภัยต่อร่างกาย

แอร์ที่ใช้ทั่วไปจะมี 2 ระบบ คือ

  1. แอร์แบบระบบรวม เมื่อไม่ได้ใช้ควรปล่อยน้ำทิ้งจากหอหล่อเย็นให้แห้งหลังจากนั้นก็ทำความสะอาด และใช้น้ำยาที่ผสมคลอรีนที่มีความเข้มข้น 10 ppm เข้าไปที่ท่อผึงเย็นให้ทั่วถึง ทั้งระบบอย่างน้อย 3-6 ชั่วโมง แล้วรักษาระดับคลอรีนให้มีความเข้มข้นไม่น้อยกว่า 0.2 ppm โดยการทำความสะอาดหอหล่อเย็นอย่างน้อย 1-2 ครั้งต่อเดือน
  2. แอร์ในห้องพัก ควรทำความสะอาดถาดรองทุกๆ 1-2 สัปดาห์ เพื่อไม่ให้มีตะไคร่เกาะ และเมื่อเปิดแอร์ควรสังเกตว่าอากาศที่ออกมาจากแอร์มีกลิ่นเหม็นหรือมีกลิ่นอับหรือไม่ หากมีกลิ่น ในเบื้องต้นควรล้างทำความสะอาดแผ่นกรองอากาศที่อยู่ในแอร์ด้วยน้ำสบู่หรือน้ำยาฆ่าเชื้อโรค หากล้างทำความสะอาดแล้วกลิ่นไม่หาย ควรเรียกช่างเพื่อทำความสะอาดเต็มระบบ

การล้างแอร์เต็มระบบ ควรล้างอย่างน้อยปีละครั้ง แต่หากใช้เป็นประจำควรล้างอย่างน้อย 6 เดือนต่อครั้ง เพราะนอกจากลดเชื้อโรคแล้วยังช่วยประหยัดไฟฟ้าได้อีกด้วย

แท็กที่เกี่ยวข้อง

เรื่องอื่นที่น่าสนใจ