กมธ.การพัฒนาการเมือง อัดตำรวจ มองผู้ชุมนุมเป็นศัตรู ใช้ความรุนแรง ไม่อดกลั้น เตรียมส่งคณะทำงานหาข้อเท็จจริงเหตุชุมนุม 14 พ.ย.นี้
วันที่ 15 พ.ย.2564 นายณัฐชา บุญไชยอินสวัสดิ์ ส.ส.กทม. พรรคก้าวไกล ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการ (กมธ.) การพัฒนาการเมือง การสื่อสารมวลชนและการมีส่วนร่วมของประชาชน สภาผู้แทนราษฎร กล่าวถึงการชุมนุมเมื่อวันที่ 14 พ.ย.ว่า ตนเห็นแนวโน้มความรุนแรงมากขึ้น ทางเจ้าหน้าที่รัฐไม่ได้อดทนอดกลั้นเพื่อระงับยับยั้งเหตุตามลำดับขั้นตอนที่มีแนวปฏิบัติอยู่แล้ว กลับมองผู้ชุมนุมเป็นศัตรู
ที่ผ่านมากมธ.ได้ตั้งคณะทำงานขึ้นมา 2 ชุด ชุดแรก คือ คณะทำงานติดตามสถานการณ์การชุมนุม ที่มีนางอมรัตน์ โชคปมิตต์กุล ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ในฐานะกมธ. เป็นประธานคณะทำงาน เมื่อวานนี้ก็ได้อยู่ในพื้นที่เพื่อติดตามสถานการณ์ด้วย พบว่ามีการใช้มาตรการรุนแรงต่อผู้ชุมนุมทันทีตั้งแต่เริ่มต้น ไม่มีการรับฟังหรือทำความเข้าใจเพื่อพยายามไม่ให้มีเหตุรุนแรงเกิดขึ้น ทำให้มีผู้ได้รับบาดเจ็บรุนแรงจากการยิงด้วยกระสุนที่ยังไม่ทราบชนิดว่าเป็นกระสุนยางหรือกระสุนจริง
สิ่งที่ระบุได้คือรูปแบบการยิงไม่เป็นไปตามหลักกฎหมาย ซึ่งมีการยิงในระยะกระชั้นชิดของเจ้าหน้าที่และเป็นการยิงใส่ผู้ชุมนุม แนวปฏิบัติลักษณะนี้คือภาพสะท้อนตัวตนที่ชัดเจนของการปกครองที่มีผู้นำหลงอำนาจ ไม่สามารถรับได้กับการเปิดให้สิทธิเสรีภาพเป็นเรื่องปกติ เป็นพัฒนาการในทางที่เลวร้ายแตกต่างจากบรรยากาศในช่วงแรกที่มีการชุมนุม ที่เจ้าหน้าที่มีความเข้าอกเข้าใจผู้ชุมนุม และมีท่าทีที่เปิดกว้างต่อการแสดงออกของประชาชนมากกว่านี้
สำหรับคณะทำงานอีกชุดคือ คณะทำงานค้นหาความจริงจากเหตุความรุนแรงในพื้นที่ชุมนุม กรณีแรกคือการหาความจริงเหตุที่มีการใช้กระสุนจริงยิงใส่ผู้ชุมนุมหน้า สน.ดินแดงทำให้มีทั้งผู้บาดเจ็บและเสียชีวิต ซึ่งคณะทำงานของเราสามารถใช้ข้อมูลจากกล้องจำนวน 54 ตัว ชี้ให้เห็นกลุ่มผู้ต้องสงสัยได้และพบว่าอาจมีความเกี่ยวพันกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ ซึ่งผลจากรายงานนี้สามารถกดดันจนมีการขยับจากตำรวจในการติดตามคดี
ส่วนเหตุรุนแรงที่เกิดขึ้นในการชุมนุมวันที่ 14 พ.ย. ที่มีผู้ชุมนุมถูกยิงอย่างน้อย 3 ราย บางรายยังมีอาการสาหัส และยังไม่ทราบว่าเป็นกระสุนชนิดใด กระสุนยางหรือกระสุนจริง โดยกมธ.จะใช้คณะทำงานทั้ง 2 ชุด ติดตามสถานการณ์และหาข้อเท็จจริงเพื่อรายงานให้กมธ.ได้ทำหน้าที่เพื่อปกป้องสิทธิเสรีภาพของประชาชน
จากนี้คงต้องติดตามดูกันต่อว่า ระหว่างกมธ.กับเจ้าหน้าที่ตำรวจ ใครจะหาความจริงเพื่อคลายข้อกังขาให้กับสังคมได้ ที่พูดเช่นนี้ไม่ใช่การแข่งขัน แต่เราอยากกระตุ้นให้เจ้าหน้าที่ตำรวจทำงานอยู่ได้บนความเชื่อมั่นศรัทธาของประชาชน
ทั้งนี้การชุมนุมเป็นสิทธิเสรีภาพและสิทธิขั้นพื้นฐานของประชาชนที่ได้รับการรับรองไว้ในรัฐธรรมนูญ แต่สิ่งที่น่าเป็นห่วงคือภายหลังศาลรัฐธรรมญวินิจฉัยว่า การปราศรัยชุมนุมในวันที่ 10 ส.ค.เป็นการแสดงความคิดเห็นโดยไม่สุจริต มีมูลเหตุจูงใจเพื่อล้มล้างการปกครองนั้น จะนำไปสู่ปฏิบัติการที่รุนแรงมากขึ้นของเจ้าหน้าที่ในการควบคุมฝูงชน ที่ผ่านมาแนวทางปฏิบัติก็เลวร้ายมาตามลำดับ จากการส่งสัญญาณจากรัฐบาลในแต่ละครั้ง
น่าเสียดายที่กลุ่มชนชั้นนำไม่เลือกที่จะรับฟังเสียงของประชาชนและปรับตัวให้เข้ากับยุคสมัย แต่กลับเลือกที่จะฉุดรั้งพัฒนาการของสังคมและการเมืองไว้ต่อไปผ่านกลไกต่างๆ รวมถึงการใช้อำนาจตุลาการก็เป็นอีกเครื่องมือหนึ่ง การชุมนุมที่เกิดขึ้นเมื่อวานคือแรงสะท้อนอารมณ์ความรู้สึกของประชาชนที่มีต่อท่าทีเหล่านี้โดยตรงและคงจะยกระดับขึ้นอีก
ตนในฐานะผู้แทนราษฎรและประธาน กมธ.พัฒนาการเมือง จึงอยากให้ผู้ที่มีอำนาจไม่ว่าโดยตรงหรือโดยอ้อมคิดให้ดีๆ เพราะเรามีบทเรียนที่เป็นความสูญเสียเกิดขึ้นมาแล้วหลายครั้ง และเราสามารถที่จะหลีกเลี่ยงไม่ให้ประวัติศาสตร์หน้านี้ซ้ำรอยได้ด้วยการรับฟังและเปิดพื้นที่สำหรับความคิดความเห็นที่แตกต่าง