อังกฤษชาติแรก ไฟเขียววัคซีนป้องโควิดเชื้อโอมิครอนของโมเดอร์นา
อังกฤษชาติแรก – วันที่ 15 ส.ค. รอยเตอร์รายงานว่า อังกฤษกลายเป็นชาติแรกที่รับรองวัคซีนป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนาปี 2019 หรือโควิด-19 ที่ได้รับการปรับสูตรใหม่ให้สร้างภูมิคุ้มกันต่อเชื้อไวรัสสายพันธุ์โอมิครอน ซึ่งเป็นเชื้อก่อโควิด-19 สายพันธุ์หลักที่กำลังระบาดทั่วโลก
วัคซีนดังกล่าวพัฒนาโดยบริษัทโมเดอร์นา ประเทศสหรัฐอเมริกา เป็นวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 แบบ “ไบวาเลนต์” ได้รับการรับรองอย่างมีเงื่อนไขจากคณะกรรมการกำกับยาแห่งสหราชอาณาจักร (อังกฤษ) หรือเอ็มเอชอาร์เอ ให้ใช้เป็นวัคซีนเข็มกระตุ้นในผู้ใหญ่ได้
คณะกรรมาธิการร่วมด้านภูมิคุ้มกันและวัคซีนหรือเจซีวีไออยู่ระหว่างเตรียมเปิดเผยข้อแนะนำว่าวัคซีนแบบไบวาเลนต์จากโมเดอร์นาควรต้องนำไปใช้อย่างไร
แถลงการณ์ของเอ็มเอชอาร์เอ ระบุว่า การรับรองที่เกิดขึ้นนั้นพิจารณาจากผลการศึกษาพบว่าวัคซีนเข็มกระตุ้นดังกล่าวสามารถกระตุ้นให้เกิดการตอบสนองทางด้านภูมิคุ้มกันได้อย่างดีต่อเชื้อชนิดโอมิครอน (BA.1) และเชื้อชนิดดั้งเดิม
โมเดอร์เคยเปิดเผยผลการศึกษาตั้งแต่เดือนมิ.ย. ที่ผ่านมา ว่าวัคซีนเข็มกระตุ้นเข็มดังกล่าวเมื่อใช้เป็นเข็มที่ 4 (กระตุ้นรอบที่ 2) ส่งผลให้ผู้รับวัคซีนมีปริมาณภูมิคุ้มกันชนิดแอนติบอดีต่อเชื้อโอมิครอนเพิ่มขึ้นเป็น 8 เท่า
นอกจากนี้ การวิเคราะห์ข้อมูลของเอ็มเอชอาร์เอยังพบว่า วัคซีนแบบไบวาเลนต์จากโมเดอร์นาดังกล่าวยังกระตุ้นให้ร่างกายตอบสนองสร้างภูมิคุ้มกันอยู่ในเกณฑ์ดีต่อเชื้อโอมิครอนสายพันธุ์ย่อยอย่าง BA.4 และ BA.5 ซึ่งกำลังเป็นชนิดหลักที่ระบาดทั่วโลกขณะนี้
การศึกษาของโมเดอร์นาและการวิเคราะห์ของเอ็มเอชอาร์เอยังไม่พบข้อห่วงกังวลร้ายแรงจากอาการไม่พึงประสงค์ของวัคซีนด้วย
ด้านรัฐบาลอังกฤษเคยระบุไว้ว่า โครงการฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้นแบบใหม่จะเริ่มขึ้นในช่วงต้นของฤดูใบไม้ร่วง โดยจะพุ่งเป้าไปที่บุคคลที่มีอายุ 50 ปีขึ้นไป และกลุ่มเสี่ยงก่อน อาทิ เจ้าหน้าที่ด่านหน้าและผู้ดูแลผู้สูงอายุ
รายงานระบุว่า แม้วัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 ที่มีใช้อยู่ปัจจุบันจะสามารถป้องกันเชื้อไวรัสก่อโรคชนิดนี้ได้ในเกณฑ์ดีแต่เมื่อไวรัสกลายพันธุ์นั้นทำให้ประสิทธิศักย์ของวัคซีนลดลง
นางจูน เรน ผู้อำนวยการเอ็มเอชอาร์เอ กล่าวว่า วัคซีนเจเนอเรชั่นแรกที่ใช้อยู่ในอังกฤษยังคงมีความสำคัญในการสร้างการป้องกันต่อโรคดังกล่าวและช่วยชีวิตผู้คนได้
“วัคซีนชนิดไบวาเลนต์นี้ทำให้เปรียบเสมือนเรามีอาวุธที่มีประสิทธิภาพมากขึ้นเพื่อไว้ใช้ป้องกันไวรัสที่ยังคงกลายพันธุ์อย่างต่อเนื่อง” นางเรน ระบุ
ขณะที่องค์การยาแห่สหภาพยุโรปหรืออีเอ็มเอ คาดว่า จะสามารถรับรองวัคซีนเจเนอเรชั่นใหม่ได้ภายในเดือนก.ย.นี้ พร้อมส่งสัญญาณให้บรรดาหน่วยงานในกำกับเตรียมดำเนินการฉีดวัคซีนป้องกันได้ภายในฤดูใบไม้ร่วงนี้เช่นกัน
ส่วนความเคลื่อนไหวที่สหรัฐฯ สำนักงานอาหารและยาหรือเอฟดีเอ ระบุว่าเตรียมจะพิจารณาวัคซีนเจเนอเรชั่นใหม่ที่สามารถป้องกันเชื้อโอมิครอนชนิด BA.4 และ BA.5 สำหรับใช้ในสหรัฐฯ
นอกเหนือจากโมเดอร์นาแล้วบริษัทไฟเซอร์กับบิออนเทคอยู่ระหว่างการพัฒนาวัคซีนชนิดเอ็มอาร์เอ็นเอเพื่อใช้ป้องกันเชื้อโอมิครอนด้วยเช่นกัน
ขณะที่บริษัทอย่างซาโนฟี่และแกล็กโซสมิทไคล์นหรือจีเอสเคอยู่ระหว่างพัฒนาวัคซีนแบบใช้โปรตีนเบสเพื่อป้องกันสายพันธุ์เบต้าที่เคยนะบาดอยู่ช่วงหนึ่งเมื่อปี 2564
ทั้งนี้ สถาบันสุขภาพแห่งชาติสหรัฐฯ หรือเอ็นไอเอช ให้คำจำกัดความของวัคซีนชนิดไบวาเลนต์ไว้ว่า เป็นวัคซีนที่มีความสามารถในการกระตุ้นร่างกายให้ตอบสนองต่อแอนติเจนได้ 2 ชนิดในครั้งเดียว เช่น เชื้อไวรัส 2 ชนิด เป็นต้น