ร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2567 ผ่านสภาวาระแรก เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ด้วยคะแแนนเสียงท่วมท้น 311 ต่อ 177 เสียง แม้จะถูกถล่ม โจมตีอย่างหนักจากฝ่ายค้าน ว่าเป็นการจัดทำงบฯ ไม่ตรงปก ของรัฐบาลรวมการเฉพาะกิจ
จาก “ชัยธวัช ตุลาธน” ผู้นำฝ่ายค้าน หรือ “งบเป็ดง่อย” จาก “จุรินทร์ ลักษณวิศิษฐ์” ตลอดจนให้ฉายานายกฯเศรษฐา “นักกู้ถุงเท้าสีชมพู” รวมถึง “ศิริกัญญา ตันสกุล” ที่กล่าวหาด้วยถ้อยคำรุนแรง “งบฯ 67 ผิดพลาดซ้ำรอยรัฐบาลก่อน พร้อมเย้ยเพื่อไทย”นี่หรือหาเงินได้ บริหารเงินเป็น” และจากคนอื่นๆ อีกมากมาย
ตลอดการอภิปราย 3 วัน ก่อนเสร็จสิ้นลงด้วยการลงมติไปตามระบอบประชาธิปไตย รัฐบาลเสียงมากกว่าก็ผ่านวาระแรกไปได้ หลังจากนี้ ก็จะเป็นการต่อสู้กันต่อในชั้นของกรรมาธิการ ที่มี “ภูมิธรรม เวชยชัย” รองนายกฯ และรัฐมนตรีพาณิชย์ เป็นประธาน ครั้งแรก ที่ไม่ใช่ รัฐมนตรีคลังทำหน้าที่ประธานกรรมาธิการ และมีกรอบพิจารณาให้แล้วเสร็จภายใน 105 วัน ว่าจะมีการปรับเปลี่ยน ตัดลด โยกเม็ดเงินจากจุดไหน ไปเพิ่มตรงไหน ให้สอดคล้องและรองรับการแก้ปัญหาเศรษฐกิจ สังคม ของประเทศที่กำลังวิกฤตอยู่ในขณะนี้ได้มากขึ้นกว่าเดิมหรือไม่
แน่นอน และชัดเจนว่า ในการอภิปรายงบประมาณ ฝ่ายค้าน จัดหนัก จัดเต็ม โจมตีรัฐบาลอย่างเต็มที่ แม้บางคนจะมองว่าเป็นการละคร เพราะไม่ได้เข้มข้นดุเดือดเหมือนปีก่อนๆแต่ทุกอย่างก็เป็นไปตามกรอบ ตามกลไก การตรวจสอบรัฐบาล ที่เขียนไว้ในรัฐธรรมนูญ แต่หลังจากนี้ อีกประมาณ 100 วันเป็นอย่างน้อย หรือประมาณ เดือนเมษายน พรบ.งบประมาณ วาระ 2และ 3 จะกลับเข้าสภามาอภิปรายกันอีกครั้ง และฝ่ายค้านก็คงสงวนคำแปรญัตติ อภิปรายโจมตี ไม่เห็นด้วยอีกรอบ ตามธรรมเนียม
แต่ก็คงไม่มีผลอะไรมากนัก เว้นแต่เกมการเมืองเวลานั้นตึงเครียด ด้วยเหตุผลอื่น แต่เมื่อรัฐบาลมีงบประมาณมาใช้จ่าย กระตุ้นเศรษฐกิจ ดำเนินโครงการต่างๆ ที่วาดฝันไว้ นั่นหมายความว่า การเดินหน้าแก้ปัญหาปากท้อง แก้ปัญหาเศรษฐกิจ แก้ปัญหาทางสังคมต่างๆ ย่อมดีขึ้น
เพราะตลอด 3 เดือนแรก “รัฐบาลเศรษฐา” ทำงาน โดยที่ไม่สามารถใช้บประมาณ ในรูปแบบที่ตัวเองต้องการได้ เพราะติดขัด ติดข้อจำกัดทางกฏหมายและงบประมาณ แต่เมื่อมีเงิน มีงบประมาณใช้จ่าย ความเจริญ ย่อมส่งกลิ่นลอยมา และโอาสที่นายกฯเศรษฐา จะพาประชาชน เป็นเศรษฐี ก็จะมีความชัดเจนเป็นประจักษ์มากยิ่งขึ้นนั่นเอง