นายเดวิด เบนเน็ต ชายอเมริกันซึ่งเป็นข่าวดังไปทั่วโลกจากการเป็นมนุษย์รายแรกของโลกที่ได้รับการปลูกถ่ายหัวใจจากหมูที่ผ่านการตัดต่อพันธุกรรม ถูกเปิดโปงว่า เคยก่อคดีแทงชายคนหนึ่งเมื่อ 34 ปีก่อน ส่งผลให้เหยื่อต้องกลายเป็นอัมพาต
นายเดวิด เบนเน็ต ชายอเมริกันซึ่งเป็นข่าวดังไปทั่วโลกจากการเป็นมนุษย์รายแรกของโลกที่ได้รับการปลูกถ่ายหัวใจจากหมูที่ผ่านการตัดต่อพันธุกรรม ถูกเปิดโปงว่า เคยก่อคดีแทงชายคนหนึ่งเมื่อ 34 ปีก่อน ส่งผลให้เหยื่อต้องกลายเป็นอัมพาต
นายเบนเน็ต วัย 57 ปี ถูกตัดสินให้รับโทษจำคุก 10 ปี จากคดีแทงนายเอ็ดเวิร์ด ชูเมเกอร์ จำนวน 7 แผล เมื่อเดือน เม.ย.ปี 1988
นางเลสลีย์ ชูเมเกอร์ ดาวนีย์ น้องสาวของผู้เสียหาย เผยกับรายการทูเดย์ ทางสถานีวิทยุเรวิโอโฟว์ ของบีบีซีว่า เหตุการณ์ครั้งนั้นทำให้พี่ชายได้รับบาดเจ็บสาหัสจนกลายเป็นอัมพาต และต้องใช้ชีวิตอยู่บนรถเข็น อีกทั้งต้องทนทุกข์กับภาวะแทรกซ้อนที่เกี่ยวเนื่องจากการถูกทำร้ายครั้งนั้นอยู่นานเกือบ 20 ปี ก่อนที่จะเสียชีวิตลงในปี 2007
“พี่ชายของฉันต้องทนทุกข์ทรมานอยู่นาน 19 ปี และผลจากเหตุการณ์นี้ก็สร้างความทุกข์ระทมให้กับคนทั้งครอบครัว” เธอเล่า
- หมูจีเอ็มโอจะเป็นแหล่งผลิตอวัยวะมนุษย์ในอนาคต ?
- ญี่ปุ่นทดลองพิสดารให้หมู “หายใจทางก้น” สำเร็จ เล็งประยุกต์ใช้ช่วยชีวิตมนุษย์
- ปอดจากผู้บริจาคอวัยวะที่เสียหาย ฟื้นฟูได้หากเชื่อมต่อกับร่างหมูมีชีวิต
นางดาวนีย์ เล่าว่า เหตุทำร้ายเกิดขึ้นหลังจากภรรยาของนายเบนเน็ตไปนั่งตักนายชูเมเกอร์ ซึ่งขณะนั้นมีอายุ 22 ปี และคาดว่านายเบนเน็ตจะเกิดความหึงหวง จึงใช้อาวุธจ้วงแทงที่หลังของนายชูเมเกอร์ถึง 7 แผล
เธอเผยว่า ไม่มีใครแจ้งให้ทราบเรื่องที่นายเบนเน็ตได้รับการผ่าตัดปลูกถ่ายอวัยวะครั้งประวัติศาสตร์ และเธอได้รู้เรื่องนี้จากข่าวทางสื่อมวลชน
“ลูกสาวคนที่สองของฉันส่งข้อความมาบอกว่า ‘แม่คะ นี่คือชายที่แทงลุงเอ็ด’ พอฉันได้อ่านข่าว ก็รู้สึกโกรธมาก เพราะเขาได้รับการปลูกถ่ายหัวใจนั้น” เธอบรรยายถึงความรู้สึกในขณะนั้น
ไม่คู่ควร
นางดาวนีย์ ชี้ว่า นายเบนเน็ต ไม่มีคุณค่าคู่ควรกับการเป็นผู้รับการปลูกถ่ายอวัยวะที่ถือเป็นการบุกเบิกในแวดวงการแพทย์นี้
ขณะนี้ นายเบนเน็ตกำลังพักฟื้นจากการผ่าตัดที่โรงพยาบาลในเมืองบัลติมอร์ รัฐแมริแลนด์ ซึ่งถือเป็นทางเลือกเดียวในการรักษาชีวิตของเขาจากอาการโรคหัวใจระยะสุดท้าย
อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ยังเร็วเกินไปที่จะสรุปว่าการปลูกถ่ายอวัยวะข้ามสายพันธุ์ดังกล่าวจะมีผลอย่างไร และจะช่วยให้เขามีชีวิตอยู่ในระยะยาวได้หรือไม่ แต่ก็ถือเป็นก้าวแรกของการทดลองที่มีการพูดถึงกันมาหลายสิบปีว่า ในวันสักหนึ่งเราจะสามารถใช้อวัยวะของสัตว์มาช่วยต่อชีวิตคนได้
นางดาวนีย์ กล่าวว่า “พวกเขา (สื่อ) นำเสนอภาพนายเบนเน็ตในฐานะวีรบุรุษ และผู้บุกเบิก แต่เขาไม่ใช่อะไรแบบนั้นเลย”
“ฉันคิดว่าคณะแพทย์ผู้ทำการผ่าตัดควรเป็นผู้ได้รับคำชื่นชมต่อสิ่งที่พวกเขาทำมากกว่า”
อย่างไรก็ตาม ทีมแพทย์ผู้ทำการผ่าตัดครั้งนี้ ระบุว่า ประวัติอาชญากรรมไม่ใช่ปัจจัยที่จะตัดสิทธิคนไข้จากการรับการผ่าตัดนี้
เจ้าหน้าที่ศูนย์การแพทย์มหาวิทยาลัยแมริแลนด์บอกหนังสือพิมพ์นิวยอร์กไทม์ว่า “มันเป็นภาระหน้าที่ที่ต้องยึดถืออย่างเข้มงวดของโรงพยาบาลและสถานพยาบาลทุกแห่งในการรักษาชีวิตคนไข้ทุกคนที่เข้ามารักษา…การใช้มาตรฐานอื่นจะสร้างมาตรฐานที่เป็นอันตราย อีกทั้งละเมิดจรรยาบรรณและค่านิยมทางจริยธรรมของแพทย์ตลอดจนผู้ให้การดูแลที่มีต่อคนไข้ทั้งหลายภายใต้การดูแลของพวกเขา”
“ผมอยากจะมีชีวิตอยู่”
นายเบนเน็ตเป็นผู้ป่วยโรคหัวใจระยะสุดท้าย และไม่มีคุณสมบัติที่จะได้รับการปลูกถ่ายหัวใจมนุษย์ เนื่องจากคณะแพทย์เห็นว่าสุขภาพของเขาย่ำแย่เกินกว่าการเข้าสู่กระบวนการ เขาป่วยติดเตียงถึง 6 สัปดาห์และต้องใช้เครื่องช่วยชีวิตตลอดเวลาก่อนการผ่าตัด ดังนั้นเขาจึงเลือกเข้าสู่การทดลองนี้ และตระหนักดีว่ากระบวนการนี้อาจไม่ประสบผลสำเร็จ
“ผมมีแค่ 2 ทางเลือก คือ ตาย หรือเข้าร่วมการปลูกถ่ายอวัยวะครั้งนี้ ผมอยากจะมีชีวิตอยู่ ผมรู้ว่ามันอาจเป็นฝัน ลม ๆ แล้ง ๆ แต่มันก็เป็นทางเลือกสุดท้ายที่ผมมี” เขากล่าวในวันก่อนเข้ารับการผ่าตัด
“ตอนนี้ผมหวังว่าจะดีขึ้นแล้วลุกจากเตียงได้” นายเบนเน็ตกล่าวทิ้งท้าย