หมอแชร์ภาพ "ของเหลวสีขาว" ดูดออกจากปอดคนไข้ วันละ 1 ลิตร รู้ว่าเป็นน้ำอะไรแล้วช็อก!

Home » หมอแชร์ภาพ "ของเหลวสีขาว" ดูดออกจากปอดคนไข้ วันละ 1 ลิตร รู้ว่าเป็นน้ำอะไรแล้วช็อก!
หมอแชร์ภาพ "ของเหลวสีขาว" ดูดออกจากปอดคนไข้ วันละ 1 ลิตร รู้ว่าเป็นน้ำอะไรแล้วช็อก!

สีเหมือนนมแต่ไม่ใช่! หมอแชร์ภาพ “ของเหลวสีขาว” ดูดออกจากปอดคนไข้ วันละ 1 ลิตร รู้ว่าเป็นน้ำอะไรแล้วช็อก

แพทย์ทรวงอกชาวไต้หวัน ซู อี้เฟิง ได้แชร์ภาพผ่านเฟซบุ๊ก 蘇一峰 เคสของผู้ป่วยโรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง (COPD) ซึ่งได้รับการใส่ท่อช่วยหายใจเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยผู้ป่วยรายนี้มีอาการคงที่แล้ว แต่สามารถดูดเสมหะออกมาได้มากถึง “1,000 ซีซีต่อวัน” ภาพดังกล่าวสร้างความตกตะลึงในโลกออนไลน์

ผู้ป่วยเป็นชายที่มีน้ำหนักตัวเพียง 40 กิโลกรัม เข้ารับการใส่ท่อช่วยหายใจเมื่อสัปดาห์ก่อน เนื่องจากโรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง หลอดลมพอง และการรักษาโรคปอดบวม แม้ว่าครอบครัวของเขาจะลังเลเกี่ยวกับการใส่ท่อช่วยหายใจในตอนนั้น แต่หากไม่ได้ทำการรักษาดังกล่าวในวันนั้น ผู้ป่วยอาจเสียชีวิต โชคดีที่อาการของผู้ป่วยคงที่ โดยแพทย์ซูกล่าวว่า “สามารถดูดเสมหะผู้ป่วยได้สองขวดต่อครั้ง”

ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา โรคปอดกลายเป็นสาเหตุการเสียชีวิตที่น่ากังวล แพทย์ซูระบุว่า “การที่ผู้ป่วยโรคปอดบวมจมน้ำเสมหะของตัวเองนั้นไม่ใช่เรื่องที่เป็นไปไม่ได้”

แพทย์ซูอธิบายว่าผู้ป่วยโรคปอดอุดกั้นเรื้อรังจะมีการผลิตเสมหะในปริมาณที่มากผิดปกติ ในขณะที่ผู้ป่วยหลอดลมพองจะมีเสมหะเพิ่มขึ้นยิ่งกว่าเดิม บางรายอาจผลิตเสมหะได้หลายร้อยซีซีต่อวัน หากมีมากเกินไปอาจทำให้หลอดลมอุดตัน ปอดสูญเสียการทำงานในการแลกเปลี่ยนอากาศ ส่งผลให้ระดับออกซิเจนในเลือดลดลงและระดับคาร์บอนไดออกไซด์ในเลือดเพิ่มขึ้น

แพทย์ยังกล่าวเพิ่มเติมว่าผู้ป่วยรายดังกล่าวไม่สามารถขับเสมหะออกมาเองได้ เนื่องจากนอนติดเตียงและกล้ามเนื้อลีบ จำเป็นต้องได้รับการช่วยเหลือด้วยการเคาะปอดและดูดเสมหะ

มักเรียกอีกชื่อว่า “ถุงลมโป่งพอง” เป็นโรคที่ทำให้ทางเดินหายใจอักเสบเรื้อรัง ส่งผลให้การแลกเปลี่ยนอากาศในปอดมีปัญหา ผู้ป่วยมักมีอาการ “ไอ มีเสมหะ และหายใจเสียงดัง” นอกจากนี้ โรคนี้ยังอาจเกิดร่วมกับโรคอื่น ๆ เช่น โรคหัวใจและหลอดเลือด โรคกระดูกพรุน เบาหวาน และมะเร็งปอด

แพทย์ซูเน้นย้ำว่า แม้โรคเกี่ยวกับระบบทางเดินหายใจจะเกี่ยวข้องกับมลพิษทางอากาศในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา แต่สิ่งที่สามารถป้องกันได้คือการเลิกสูบบุหรี่และหลีกเลี่ยงควันบุหรี่มือสอง

ผู้ที่มีความเสี่ยง เช่น ผู้สูบบุหรี่อายุเกิน 40 ปี, ผู้ที่มีประวัติครอบครัวเป็นโรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง, และผู้ที่สัมผัสมลพิษทางอากาศในที่ทำงาน ควรตรวจสมรรถภาพปอดอย่างสม่ำเสมอ และที่สำคัญที่สุดคือควรเลิกสูบบุหรี่ทันที

แท็กที่เกี่ยวข้อง

เรื่องอื่นที่น่าสนใจ