หญิงวัย 60 ปี กว่าจะตรวจรู้ว่าเป็นมะเร็งลำไส้ระยะสุดท้าย ใช้เวลาถึง 9 เดือน หมอชี้ รู้ตัวช้าเพราะ “สีโถส้วม”

เว็บไซต์ HK01 รายงานว่า แพทย์ชาวไต้หวันได้เปิดเผยถึงเคสของหญิงวัย 60 ปีรายหนึ่ง เธอปวดหัวเวียนศีรษะมานานกว่า 9 เดือน กว่าจะรู้ว่าเป็นมะเร็งลำไส้ระยะสุดท้าย ก็หลังแพทย์ตรวจพบสาเหตุจากสีของอุจจาระ

นายแพทย์หวัง เว่ยตี้ แพทย์เฉพาะทางด้านระบบตับและลำไส้ของไต้หวัน ได้แบ่งปันเรื่องราวเกี่ยวกับผู้ป่วยหญิงวัย 60 ปีรายหนึ่ง ซึ่งมาปรึกษาแพทย์เนื่องจากมักรู้สึกเวียนศีรษะ และหน้ามืดหลังจากลุกขึ้นยืน ผลการตรวจเลือดพบว่าระดับฮีโมโกลบินของเธออยู่ที่ประมาณ 6 (ค่าปกติคือ 12)

เนื่องจากเธอหมดประจำเดือนแล้ว และยืนยันว่าไม่มีอาการถ่ายอุจจาระเป็นเลือด แพทย์จึงสันนิษฐานว่าเป็นภาวะโลหิตจางจากการขาดธาตุเหล็ก และจ่ายยาบำรุงธาตุเหล็กให้เธอรับประทาน

หลังจากรักษาด้วยยาบำรุงธาตุเหล็กเป็นเวลา 3 เดือน อาการเวียนศีรษะของหญิงคนนี้ก็ยังไม่ดีขึ้น และระดับฮีโมโกลบินยังคงอยู่ที่ประมาณ 6 แต่เธอยังคงยืนยันว่าทุกอย่างปกติดี แพทย์จึงจำเป็นต้องจ่ายยาบำรุงธาตุเหล็กให้ต่ออีก 3 เดือน

แต่ผ่านไป 3 เดือน หญิงคนนี้ก็ยังคงมีอาการเวียนศีรษะอีกครั้ง แม้ว่าแพทย์จะเคยแนะนำให้เธอเข้ารับการตรวจเพิ่มเติมที่แผนกทางเดินอาหาร แต่เธอก็ยังปฏิเสธ จนกระทั่ง 3 เดือนต่อมาเธอเกิดหมดสติที่บ้าน ทำให้ครอบครัวตกใจรีบพาเธอไปที่ห้องฉุกเฉินทันที

หลังจากที่หญิงรายนี้เข้ารักษาตัวในโรงพยาบาล ในที่สุดเธอก็ยอมเข้ารับการตรวจด้วยการส่องกล้องลำไส้ใหญ่และกระเพาะอาหาร และได้ยอมรับกับแพทย์ว่า เนื่องจากห้องน้ำที่บ้านของเธอใช้ “โถส้วมสีแดง” ทำให้เธอไม่รู้เลยว่าตนเองมีอาการถ่ายอุจจาระเป็นเลือด จนกระทั่งต้องเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาล

ผลการตรวจพบว่าลำไส้ของเธอเต็มไปด้วยเนื้องอก จนเหลือพื้นที่ว่างขนาดเท่าหัวแม่มือเท่านั้น และเซลล์มะเร็งก็ได้ลุกลามไปยังตับแล้ว แพทย์จึงวินิจฉัยว่าเธอเป็น “มะเร็งลำไส้ระยะสุดท้าย”

นายแพทย์หวัง เว่ยตี้ กล่าวเสริมว่า ภาวะโลหิตจางเป็นหนึ่งในอาการที่พบบ่อยของมะเร็งลำไส้ใหญ่ แต่ถ้าโลหิตจางเกิดจากการมีเลือดออกที่ผิวเนื้องอก มักบ่งบอกว่ามะเร็งอยู่ในระยะที่ 3 แล้ว

เขายังชี้ให้เห็นอีกว่าหากหญิงรายนี้ใช้โถส้วมสีขาวที่บ้าน บางทีเธออาจสังเกตเห็นอาการถ่ายอุจจาระเป็นเลือดได้เร็วขึ้น และอาจสามารถตรวจพบปัญหาได้ตั้งแต่เนิ่น ๆ