หนุ่ม "จมูกบอด" หลังผ่าตัด ทดลองดมกลิ่นต่างๆ เฉลยกลิ่นที่ชอบที่สุด พีกมาก!

Home » หนุ่ม "จมูกบอด" หลังผ่าตัด ทดลองดมกลิ่นต่างๆ เฉลยกลิ่นที่ชอบที่สุด พีกมาก!
หนุ่ม "จมูกบอด" หลังผ่าตัด ทดลองดมกลิ่นต่างๆ เฉลยกลิ่นที่ชอบที่สุด พีกมาก!

หนุ่ม “จมูกบอด” หลังเข้ารับการผ่าตัด ทดลองดม 5 กลิ่นที่อยากรู้มานาน ก่อนเฉลยกลิ่นที่ชอบที่สุด

การได้กลิ่นขนมอบสดใหม่หรือดอกไม้หอม ๆ อาจช่วยเติมสีสันให้วันของคุณ แต่โชคร้ายสำหรับชายคนนี้ที่ไม่เคยได้สัมผัสความสุขเล็ก ๆ นี้เลยในชีวิต

เจมส์ อ็อดเจอร์ส หรือที่รู้จักกันในชื่อ “Chewbonic” ทางโลกออนไลน์ เล่าว่าเขาไม่เคยมีประสาทรับกลิ่นมาตั้งแต่จำความได้ ทุกอย่างเปลี่ยนไปเมื่อปีที่ผ่านมา หลังเขาเข้ารับการผ่าตัดแก้ไขเพื่อฟื้นฟูประสาทการรับกลิ่น

ชายวัย 22 ปี เล่าว่า เขาเพิ่งรู้ตัวว่าตนเองมีภาวะ “จมูกบอด” หรือที่เรียกทางการแพทย์ว่า “ภาวะสูญเสียการได้กลิ่น” (Anosmia) หลังแพทย์ตรวจโพรงจมูกและส่งตัวเขาไปยังผู้เชี่ยวชาญด้านหู คอ จมูก

“พวกเขาพบปัญหาหลายอย่างในจมูกของผม แต่สิ่งเดียวที่พวกเขาไม่พบคือเหตุผลว่าทำไมผมถึงไม่ได้กลิ่นเลย ถึงแม้จะไม่รู้สาเหตุ แต่พวกเขาก็บอกว่าสามารถลองรักษาได้ พวกเขาใส่ชื่อผมในรายการรอคิว และผมไม่ได้ยินข่าวอะไรเลยเป็นเวลา 2 ปี จนกระทั่งในที่สุดก็ได้รับโทรศัพท์” เจมส์ กล่าว

แพทย์แจ้งว่าเขามีโอกาสเพียง 15% ที่จะกลับมารับกลิ่นได้ แม้โอกาสจะไม่สูงนัก แต่เจมส์ยอมรับว่าเขายังคงมองโลกในแง่ดี

เจมส์ เล่าว่า การที่จมูกของเขาไม่ทำงานตามปกติไม่ได้ส่งผลกระทบมากนักในช่วงหลายปีที่ผ่านมา แต่เขายอมรับว่ารู้สึกอิจฉาเล็กน้อยที่คนอื่นสามารถดมกลิ่นได้

ความรู้สึกหลังเข้ารับการผ่าตัด

หลังการผ่าตัด สิ่งแรกที่เขาตั้งใจทำคือดมกลิ่นบลูชีส น้ำมันเบนซิน คลอรีน น้ำหอมผู้ชาย และลมหายใจของเพื่อน เพราะเขาใช้ชีวิตโดยไม่มีประสาทการรับกลิ่นมาตลอด เจมส์จึงไม่เคยได้เลือกกลิ่นประจำตัวเองเลย เขาใช้โคโลญจน์ยี่ห้อ Lacoste ขวดเดียวกับพ่อมาตลอด 20 ปี และอยากรู้ว่ามันมีกลิ่นดีจริงไหม

ในวันผ่าตัด เจมส์พูดคุยสั้น ๆ กับแพทย์ ซึ่งแจ้งว่า “ไม่สามารถรับประกันได้” ว่าการผ่าตัดจะสำเร็จ “แม้ข่าวนี้จะน่าผิดหวังมาก แต่ก็สายเกินกว่าจะถอยแล้ว” เจมส์ กล่าว

แม้จะไม่ได้ระบุรายละเอียดของขั้นตอนที่ทำ แต่ผู้ป่วยที่มีภาวะสูญเสียการได้กลิ่นมักเข้ารับการผ่าตัดโพรงจมูกด้วยกล้อง (Endoscopic Sinus Surgery)

ตามข้อมูลจาก Houston Advanced Sinus การผ่าตัดแบบนี้ช่วยแก้ปัญหาสูญเสียการได้กลิ่นได้อย่างตรงจุด โดยการกำจัดติ่งเนื้อที่เป็นต้นเหตุของปัญหา

เจมส์ซึ่งยังคงมึนงงจากยาชาหลังการผ่าตัด เล่าว่า เขาตื่นมาพร้อมกับอาการเจ็บคออย่างมาก และในช่วงแรกนี้เขาไม่สามารถ “แม้แต่หายใจได้ นับประสาอะไรกับการได้กลิ่น”

วันถัดมาเขาเริ่มหายใจได้ตามปกติ แต่ประสาทการรับกลิ่นยังไม่กลับมา แม้ผ่านไปเก้าวันหลังการผ่าตัดก็ยังไม่มีความเปลี่ยนแปลง

“ทุกวันที่ผ่านไปโดยไม่มีผลสำเร็จ โอกาสของผมก็ลดลงอย่างมาก” เขาเล่าต่อ “ตอนนี้ผ่านมา 10 วันแล้ว และพวกเขาบอกว่าถ้าไม่มีอะไรเกิดขึ้นภายใน 2 สัปดาห์ ก็คงต้องยอมแพ้ ผมเริ่มรู้สึกหนักใจมากขึ้นเรื่อย ๆ ว่าสิ่งที่ทำไปทั้งหมดนี้อาจไร้ผล และมันคงไม่สำเร็จ”

แต่ในวันที่ 13 เจมส์เริ่มสังเกตเห็นความเปลี่ยนแปลง เขาตื่นมาพร้อมกับรสชาติที่ค่อนข้างแย่ในปาก และมีความรู้สึกแปลก ๆ ในจมูก

“ผมไม่อยากดีใจเกินไป เพราะยังไม่แน่ใจว่าสิ่งนี้เกี่ยวข้องกับการได้กลิ่นหรือไม่ ผมเลยรออีกสักพักให้ความรู้สึกนิ่งก่อนจะลองทดสอบขั้นสุดท้ายเพื่อพิสูจน์ว่าการผ่าตัดได้ผลจริงหรือไม่” เขากล่าว

เพื่อยืนยันว่าไม่ใช่ผลลวง (placebo effect) เขาเทน้ำหอมลงบนข้อมือและลองดมดู และอย่างไม่น่าเชื่อ เจมส์สามารถรับรู้กลิ่นได้

หลังจากปรับตัวกับชีวิตที่มีจมูกใช้งานได้อีกครั้ง เจมส์เริ่มลงมือทดลองเพื่อ “วัดความสามารถ” ของประสาทการรับกลิ่นใหม่ของเขา หลังจากให้จมูกได้สัมผัสกลิ่นที่ขาดหายไปหลายปี เจมส์เผยสถิติที่น่าสนใจเกี่ยวกับจำนวนกลิ่นที่เขารับรู้ได้

“ปรากฏว่าจากกลิ่นทั้งหมดที่อยู่ตรงหน้าผม ผมสามารถดมได้ 76.47% ของมัน แต่ความแม่นยำในการบรรยายกลิ่น หรือความสามารถในการอธิบายกลิ่นให้ตรงกับที่คนอื่นรับรู้ มีเพียง 67.5% เท่านั้น บางกลิ่นสมองผมตีความผิดไปหมด มันเหมือนจินตนาการว่ากลิ่นนั้นเป็นอย่างอื่น”

เช่น เขาคิดว่าน้ำยาปรับผ้านุ่มมีกลิ่นคล้ายลูกกวาด ขณะที่ช็อกโกแลตแท่งหนึ่งมีกลิ่นเหมือนล้อจักรยานที่วิ่งผ่านทาง และที่แปลกที่สุดคือ เจมส์บอกว่ายากันยุงเหมือนขนมหวาน “มันน่าสนใจมากจริง ๆ หลายกลิ่นที่ผมคิดว่าจะชอบกลับเกลียด และหลายกลิ่นที่คิดว่าจะเกลียดกลับชอบ”

ทดลองดม 5 กลิ่นที่รอคอยมานาน

จากนั้นเจมส์เริ่มทดสอบกลิ่น 5 อย่างที่เขารอคอยมานาน โดยเริ่มจาก “กลิ่นบลูชีส” สุดโปรด ซึ่งเขาตั้งใจเลือกชีสที่กลิ่นแรงที่สุดในซูเปอร์มาร์เก็ตอังกฤษ แม้จะคาดหวังสูงเกี่ยวกับอาหารโปรดของตัวเอง แต่เจมส์ยอมรับว่าเขาคิดว่ามันเหม็นมาก “ผมไม่อยากเชื่อเลยว่ามันแย่ขนาดนี้ เหม็นจนทนไม่ได้ โอ้โห เราไม่ควรกินของแบบนี้ในฐานะมนุษย์เลย”

ต่อมาคือ “กลิ่นน้ำมันเบนซิน” ซึ่งแน่นอนว่าไม่ใช่สิ่งที่ควรดม เจมส์บอกว่ามันก็เหม็นมากเช่นกัน แต่ในขณะเดียวกันก็แปลกจนติดใจและมีเอกลักษณ์

การทดสอบสำคัญที่สุดมาถึงลำดับ 3 นั่นคือ “กลิ่นน้ำหอม” ที่เขาใช้อยู่มานานหลายปี “ผมชอบมันนะแต่ผมบอกไม่ได้ว่ามันมีกลิ่นยังไง มันดี ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าประหลาดใจมาก” เขากล่าว

ส่วนการทดสอบ “กลิ่นลมหายใจของเพื่อน” ที่รอคอย ก็จบลงตามที่คาดไว้ “ลมหายใจของพวกเขาเหม็นสุด ๆ ผมไม่เข้าใจว่าพวกเขาออกมาเดินข้างนอกได้ยังไงในสภาพที่มีควันพิษแบบนั้นออกมาจากปาก” เจมส์เล่า

สุดท้ายแต่ไม่ท้ายสุด เจมส์อยากรู้ว่าเขาจะชอบ “กลิ่นคลอรีน” หรือไม่ จึงตรงไปที่สระว่ายน้ำเพื่อลองดมกลิ่นให้เต็มที่

“มันไม่เหมือนกับกลิ่นอื่น ๆ เลย มันดีนะ มีกลิ่นอุ่น ๆ คล้ายเค็ม แต่เป็นเค็มที่ดี คุณเข้าใจใช่ไหม ว้าว ผมชอบน้ำด้วย ดังนั้นนี่คือความสมบูรณ์แบบเลย ตอนนี้เป็นเวลาที่เหมาะที่สุดที่จะบอกพวกคุณว่า แล้วเจอกันใหม่นะ” ” เขากล่าว “

แต่ที่ทำให้ทุกคนขำคือ เจมส์พูดต่อว่า “ผมเพิ่งค้นพบตอนตัดต่อว่ากลิ่นคลอรีนจริง ๆ แล้วเกิดจากฉี่และเหงื่อของคน งั้นกลิ่นโปรดของผมก็คือฉี่ น่าขยะแขยงจริง ๆ”

1 ปีหลังการผ่าตัด เจมส์เล่าว่าแม้การได้กลิ่นจะไม่ได้เปลี่ยนชีวิตเขาไปทั้งหมด แต่ก็ทำให้ชีวิตสนุกขึ้นเยอะ

“ผมแค่คิดว่ามันเจ๋งที่สิ่งต่าง ๆ ในชีวิตมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวผ่านกลิ่น ซึ่งเหมือนเป็นบัตรประจำตัวของมัน และแม้จะมีหลายกลิ่นที่แย่มาก แต่กลิ่นที่ดี ๆ ก็ทำให้ทุกอย่างคุ้มค่า” เขากล่าว

แท็กที่เกี่ยวข้อง

เรื่องอื่นที่น่าสนใจ