หนุ่มเพิ่งทำบอลลูนหัวใจ ก่อนฉีดวัคซีนเข็ม 2 สุดท้ายปวดหัว-แน่นหน้าอก เสียชีวิต พ่อแม่เชื่อร่างกายลูกยังไม่พร้อมฉีด แต่ทางจุดฉีดวัคซีนก็ยังฉีดให้
(16 ต.ค.64) เวลา 19.30 น. ที่ศาลาสวดพระอภิธรรมศพด้านข้างเมรุ วัดประตูน้ำท่าไข่ พื้นที่ ม.1 ต.ท่าไข่ อ.เมือง จ.ฉะเชิงเทรา ซึ่งได้มีการจัดพิธีสวดพระอภิธรรมศพ นายวัชรพงษ์ อายุ 38 ปี ผู้เสียชีวิตหลังจากได้รับการฉีดวัคซีนแอสตร้าเซนเนก้าเข็มที่ 2 มาได้เพียง 3 วัน จนเกิดอาการข้างเคียง และถูกนำตัวส่งไปยัง รพ.พุทธโสธร ในช่วงรุ่งเช้าของวันที่ 4 หลังการรับวัคซีน ก่อนที่จะสิ้นใจลงในที่สุด
โดยนางเสาวคนธ์ อายุ 60 ปี พร้อมด้วย นายมาโนช อายุ 63 ปี สองสามีภรรยาและญาติเล่าว่า บุตรชายของตนเอง ได้เดินทางเข้าไปรับการฉีดวัคซีนแอสตร้าเซนเนก้าเข็มที่ 2 เมื่อวันที่ 11 ต.ค.64 จากนั้นได้มีอาการแน่นหน้าอก เวียนศีรษะ จุกแน่นท้องจนรับประทานอาหารไม่ได้ และมีอาการอาเจียนเล็กน้อย แต่ผู้ตายยังเชื่อว่าน่าจะเป็นอาการข้างเคียง ที่เคยเกิดขึ้นคล้ายกับการฉีดเข็มแรก ที่ได้รับวัคซีนแอสตร้าเซนเนก้ามาเมื่อวันที่ 19 ก.ค.64 ซึ่งมีอาการแน่นหน้าอก เวียนศีรษะ และมีอาการอาเจียนเล็กน้อยคล้ายคลึงกัน จึงไม่ได้เดินทางไปยังโรงพยาบาลเพื่อพบแพทย์
จนกระทั่งในช่วงรุ่งเช้าของวันที่ 15 ต.ค.64 นายวัชรพงษ์ ทนต่ออาการปวดศีรษะข้างเดียว และแน่นหน้าอกจนหายใจไม่ออก รวมถึงอาการเวียนศีรษะและจะอาเจียนไม่ไหว จึงได้บอกให้ นายมาโนช ผู้เป็นบิดาพาไปส่งยังที่ รพ.พุทธโสธร เมื่อเวลา 06.00 น.ของวันที่ 15 ต.ค.64 (วานนี้) เมื่อมาถึงยังโรงพยาบาล ทางแพทย์ในห้องฉุกเฉินได้ทำการปั๊มหัวใจจนถึงกระทั่งเวลาประมาณ 07.00 น.เศษ
ก่อนที่จะรีบนำขึ้นไปส่งยังที่ห้องไอซียู เนื่องจากหัวใจหยุดเต้นแล้ว แต่หลังจากนำเข้าสู่ห้องไอซียูแล้ว ในเวลา 08.17 น. เจ้าหน้าที่จึงได้ออกมาบอกว่าหัวใจของบุตรชายตนไม่ทำงานแล้ว และเสียชีวิตลงในที่สุด ซึ่งปกตินั้น นายวัชรพงษ์ มีโรคประจำตัว คือ โรคหลอดเลือดหัวใจตีบ และมีประวัติเคยเป็นโรคน้ำท่วมปอดมาก่อน แต่ไม่เคยมีอาการปวดศีรษะข้างเดียวและวิงเวียนลักษณะนี้มาก่อนเลย
สำหรับการรักษาโรคหลอดเลือดหัวใจตีบนั้น ได้มีการไปทำบอลลูนขยายหลอดเลือดหัวใจยังที่ รพ.เจ้าพระยาอภัยภูเบศร จ.ปราจีนบุรี มาเมื่อวันที่ 8 ต.ค.64 ที่ผ่านมา ก่อนที่จะเข้าไปรับการฉีดวัคซีนเพื่อเป็นการกระตุ้นเข็มที่ 2 เพียง 3 วัน ซึ่งในช่วงรุ่งเช้าวันก่อนที่จะใปฉีดวัคซีนเข็มที่ 2 นั้น นางเสาวคนธ์ กล่าวว่า ตนเองยังมีความเป็นห่วงบุตรชาย ด้วยการโทรศัพท์เข้าไปสอบถามต่อทางเจ้าหน้าที่ยังที่ รพ.พุทธโสธร ก่อนแล้วเมื่อเวลา 07.00 น. ว่า บุตรชายของตนนั้น เพิ่งไปทำบอลลูนขยายหลอดเลือดหัวใจมาได้เพียง 3 วันจะสามารถเข้าไปรับการฉีดวัคซีนเข็มที่ 2 ตามกำหนดการนัดหมายไว้ได้หรือไม่ โดยทางเจ้าหน้าที่ผู้รับสายได้ตอบกลับมาว่า ให้เดินทางไปสอบถามต่อทางเจ้าหน้าที่ยังในหน่วยบริการฉีดวัคซีน ภายในมหาวิทยาลัยราชภัฏราชนครินทร์ อ.เมือง จ.ฉะเชิงเทรา ซึ่งเป็นหน่วยบริการของทางโรงพยาบาลพุทธโสธรได้เลย
จากนั้นบุตรชายของตน จึงได้เดินทางไปเข้าคิวเพื่อรอรับการฉีดวัคซีนยังที่ ม.ราชภัฏ ตั้งแต่ช่วงเช้าของวันนั้น และได้รับการฉีดวัคซีนเข็มที่ 2 เพื่อกระตุ้นภูมิคุ้มกันโรคโควิด 19 ในที่สุดเมื่อเวลาประมาณ 11.00 น. หลังจากเดินทางกลับมาถึงบ้าน จึงได้เกิดอาการแน่นหน้าอก เวียนศีรษะคลื่นไส้อาเจียน แต่ผู้ตายยังเข้าใจว่า น่าจะเกิดจากอาการแพ้ เช่นเดียวกันกับเข็มแรกที่เคยได้รับมา จึงคิดว่ายังพอทนไหว จึงยอมอดทนรับอาการไปก่อนโดยที่ยังไม่ยอมกลับมาพบแพทย์
ซึ่งก่อนหน้าหลังจากการทำบอนลูนกลับมา เมื่อวันที่ 9 ต.ค.64 บุตรชายของตนยังบอกด้วยว่า อาการของโรคเส้นเลือดหัวใจตีบดีขึ้นมาก จนรู้สึกหายใจสะดวกและสบายตัวมากขึ้น หลังจากการที่ได้ไปทำบอลลูนกลับมาในทันที แต่ต้องมาเสียชีวิตลงหลังจากการฉีดวัคซีนแอสตร้าเซนเนก้า เพื่อกระตุ้นภูมิคุ้มกันเป็นเข็มที่ 2 ทั้งที่เพิ่งผ่านเลยวันเกิดอายุครบ 38 ปีมาได้เพียง 2 วันเท่านั้น คือ เกิดในวันที่ 13 ต.ค.2526
ซึ่งแพทย์ได้มีการลงความเห็นไว้ในใบมรณบัตรว่า “กล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด” โดยที่ตนเองเชื่อว่าสภาพร่างกายของบุตรชายนั้น ยังมีสภาพที่ยังไม่พร้อมที่จะเข้าไปรับการฉีดวัคซีน เนื่องจากเพิ่งจะไปทำบอนลูนขยายเส้นเลือดหัวใจมาได้เพียง 3 วัน จึงได้โทรศัพท์ไปถามทางโรงพยาบาลแล้ว แต่กลับได้รับคำตอบว่า ให้ไปแจ้งยังที่หน่วยบริการฉีดวัคซีนได้เลย ก่อนที่จะได้รับการฉีดวัคซีนกลับมาในที่สุด
สำหรับบุตรชายตนนั้น เป็นบุตรชายคนเดียวจากบุตรจำนวน 2 คน โดยที่ผู้เป็นน้องสาววัย 30 ปีนั้น เป็นคนที่มีสติไม่สมประกอบช่วยเหลือตนเองไม่ได้ ผู้ตายจึงเป็นบุตรคนเดียวที่คนทั้งครอบครัวฝากความหวังเอาไว้ เพื่อจะได้ให้ช่วยคอยดูแลผู้เป็นน้องสาวต่อจากพ่อและแม่ รวมถึงยังได้ตั้งความหวังไว้ว่าจะให้ช่วยดูแลในยามที่พ่อและแม่แก่ชราภาพลงในปั้นปลายของชีวิต ขณะนี้จึงไม่เหลือใครที่จะมาคอยดูแลคนในครอบครัวของตนอีกต่อไปแล้ว หลังจากนี้ไป
ความสูญเสีย ความหวังซึ่งเป็นเพียงหนึ่งเดียวทั้งชีวิตของคนในครอบครัวที่เกิดขึ้นในครั้งนี้ ถือเป็นเหตุการณ์ที่ไม่น่าจะเกิดขึ้น เนื่องจากตนเองได้พยายามที่จะโทรศัพท์ไปสอบถามต่อทางเจ้าหน้าที่ก่อนแล้ว แต่กลับได้รับคำตอบที่ไม่กระจ่างชัด หรือ ทางเจ้าหน้าที่ควรที่มีคำแนะนำที่ชัดเจนแน่นอนกลับมาตั้งแต่แรก จึงเป็นสาเหตุสำคัญของการสูญเสียที่ไม่อาจจะโหยหาให้หวนคืนกลับมาได้ จึงอยากจะทวงถามถึงความรับผิดชอบ ความเป็นธรรม จากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและรัฐบาล ว่าจะเยียวยาและรับผิดชอบต่อสิ่งที่เกิดขึ้นนี้อย่างไร นายมาโนชพร้อมภรรยากล่าวทั้งน้ำตาคลอเบ้า