หนุ่มตรวจ DNA ตามหาข้อมูลของพ่อ ช็อกผลชี้เป็น “นักโทษหนีคดี” ฆาตกรรมสะเทือนขวัญ
“แอนดรูว์” (ไม่ได้เปิดเผยชื่อจริงเพื่อปกป้องความเป็นส่วนตัว) ชายชาวออสเตรเลีย ได้ทำการตรวจ DNA เพื่อตามหาญาติทางฝั่งพ่อ หรือข้อมูลที่เกี่ยวกับพ่อ แต่กลายเป็นได้รู้ความลับในอดีตที่มืดมนเกินกว่าจะจินตนาการได้
แอนดรูว์ เปิดเผยผ่านทางรายการ The Gift พอดแคสต์ของ BBC ว่าเขาไม่รู้อะไรมากนักเกี่ยวกับพ่อของเขา รู้เพียงแค่ว่าชื่อ “จอห์น เดมอน” เติบโตขึ้นมาในสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าในชิคาโก ทำงานเป็นผู้บริหารฝ่ายขาย ก่อนที่จะเสียชีวิตลงด้วยวัย 69 ในปี ค.ศ.2010
อย่างไรก็ตาม หลังจากตรวจ DNA เมื่อปี 2022 แอนดรูว์พบว่าชื่อจริงๆ ของพ่อเขาไม่ใช่ “จอห์น เดมอน” แต่คือ “วิลเลียม เลสลี อาร์โนลด์” ซึ่งเป็นเด็กกำพร้าตั้งแต่อายุ 16 ปี หลังจากได้ยิงพ่อแม่ของตัวเองเสียชีวิต และฝังศพไว้ที่สนามหลังบ้าน
อาร์โนลด์เป็น “นักโทษตัวอย่าง” เป็นเวลา 8 ปีตามข่าวประชาสัมพันธ์ของ US Marshals Service แต่ในปี 1967 เขาหนีออกจากคุก และหลบเลี่ยงการจับกุมได้ตลอดชีวิต ลงหลักปักฐานและมีลูกกับภรรยาคนที่สอง ซึ่งก็คือแม่ของแอนดรูว์นั่นเอง จากนั้นครอบครัวก็ย้ายไปออสเตรเลีย ซึ่งก็คือที่ที่แอนดรูว์อาศัยอยู่ในขณะนี้นั่นเอง
คดีของอาร์โนลด์ถูกยุติลงทั้งที่ไม่สามารถตามจับตัวคนร้ายได้ จนกระทั่งแอนดรูว์ซึ่งได้รับแรงบันดาลใจจากรายการทีวีเกี่ยวกับการตรวจดีเอ็นเอ ได้ทำการทดสอบผลเลือดของตัวเองเพื่อตามหาพ่อของตนเอง ผลการตรวจระบุว่าเขาเป็นบุตรชายของ “นักโทษหนีคดี” ที่ตำรวจสหรัฐฯ ตามหามานานกว่า 50 ปี
ในพอดแคสต์ แอนดรูว์กล่าวว่า “ผมไม่รู้สึกโกรธเขา เห็นได้ชัดว่ามันเป็นสถานการณ์ที่แปลกมาก เพราะมันเป็นอาชญากรรมร้ายแรงที่เกิดขึ้น มีผู้เสียชีวิตสองคน และคนอื่นๆ ต้องสะเทือนใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมากๆ แต่คนที่ผมรู้จักแตกต่างออกไปมาก และชีวิตที่ผมมีตอนนี้ก็เป็นเพราะว่ามีเขาเป็นพ่อและเลี้ยงดูผมมา”
เมื่อกล่าวถึงอุปนิสัยของพ่อ เขากล่าวว่า “ผมไม่เคยมองว่าพ่อเป็นคนใช้ความรุนแรงเลย ผมรู้ว่าพ่อเป็นคนฉลาดมาก ถ้าให้ผมอธิบายเขาให้ใครบางคนฟัง คงบอกว่า เขาเป็นกำลังสนับสนุนที่ดีมาก และเป็นคนคอยให้กำลังใจที่ดีมาก
ดังนั้น เป็นเวลาหลายสิบปีที่ผมได้เรียนรู้และเข้าใจได้ว่าคนๆ หนึ่งสามารถเปลี่ยนแปลงตัวเองได้ และผมสามารถเข้าใจได้ว่าเหตุการณ์เหล่านั้นอาจเกิดขึ้นเพราะหลายๆ ปัจจัยรวมสุมกันจนเป็นเหมือนพายุ”
ทั้งนี้ “เจฟฟ์ บริทตัน” อดีตเจ้าหน้าที่สืบสวนของกรมราชทัณฑ์เนแบรสกา ซึ่งทำงานในคดีนี้ระหว่างปี ค.ศ.2004-2013 เปิดเผยผ่านทางพอดแคสต์ว่า “ผมคิดว่าอาร์โนลด์ได้ฟื้นฟูตัวเองและเปลี่ยนแปลงไปแล้ว”