“บุญส่ง”ยังไม่ตัดสินใจโหวตให้ “พิธา” ขอดูคุณสมบัติ โดยเฉพาะการถือครองหุ้นสื่อก่อน ซี้หากขาดคุณสมบัติก็จบ ยัน หากไม่ยอมถอย ม.112 ผ่านด้านส.ว.ลำบาก
เมื่อวันที่ 21 พ.ค. นายบุญส่ง ไข่เกษ ส.ว. กล่าวถึงการโหวตเลือก นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคและแคนดิเดตนายกฯ พรรคก้าวไกลเป็นนายกฯ ว่า ต้องเฝ้ามองต่อไป โดยตนยังไม่ได้ตัดสินใจ โดยดูว่านายพิธาพร้อมทุกอย่างหรือไม่ นอกจากการแก้ไขหรือลกเลิกมาตรา 112 แล้วยังมีเรื่องคุณสมบัติที่มีคนไปร้องศาลรัฐธรรมนูญแล้วในเรื่องการถือครองหุ้นสื่อ ถ้าศาลรัฐธรรมนูญบอกว่าขาดคุณสมบัติเป็นส.ส.ไม่ได้ แล้วเราเลือกไปก็เท่านั้น จะเห็นดีเห็นงามอย่างไรก็ไม่มีประโยชน์ ดังนั้นต้องให้นายพิธาผ่านเงื่อนไขก่อน เพราะตนเคยเป็นส.ส.มาและเป็นส.ว.เลือกตั้ง เรื่องคุณสมบัติเป็นสิ่งสำคัญ ถ้าคุณสมบัติไม่ได้ ก็จบแค่นั้น
น
นายบุญส่ง กล่าวต่อว่าในเรื่องมาตรา 112 ตนอาจจะเป็นคนโบราณ เคยชินกับมาตรา 112 มา ซึ่งตนก็มองเรื่องนี้เหมือนกัน เพราะตนเป็นคนเกิดจ.ตราด ผูกพันกับพระมหากษัตริย์มาเยอะ ตั้งแต่ จ.ตราดรอดจากฝรั่งเศสได้ ไม่เป็นของเขมร ถ้าท่านไม่ช่วยป่านนี้ตนเป็นเขมรไปแล้ว จ.ตราดก็ตกเป็นเมืองขึ้นฝรั่งเศสไปแล้ว และประวัติศาสตร์ก็มีให้เห็นอยู่ อย่างไรก็ตามดูแล้วการเลือกนายกฯครั้งนี้ไม่ได้อยู่บนเงื่อนไขเดียว แต่มีหลายเงื่อนไข ตนก็ต้องพิจารณาในรอบครอบ
เมื่อถามว่า หากพรรคก้าวไกล ไม่ยอมถอยเรื่องมาตรา 112 จะโหวตให้หรือไม่นายบุญส่ง กล่าวว่า ถ้าสุดท้ายคุณสมบัติเขาผ่าน ก็ต้องดูอีกว่ามาตรา 112 เขาแก้ทั้งหมดหรือไม่ เพราะตอนนี้ยังคลุมเคลืออยู่ แต่เงื่อนไขที่เขาเสนอร่างแก้ไขในสภาฯที่ผ่านมามันเยอะ ดังนั้นต้องดูรายละเอียดว่าเกินไปหรือไม่ และในเอ็มโอยูก็ไม่ได้มีการพูดถึงมาตรา 112
“ดังนั้นขอให้คอยดูก่อน อย่าเพิ่งใจร้อน แต่ถ้าไม่ถูกใจก็ไม่โหวตให้ และเวลาเราเลือกใครก็ต้องใช้ใจเลือกตามที่พอใจ และความพอใจของผมที่มีวุฒิภาวะขนาดนี้ ผ่านประสบการณ์การเมืองมาแล้ว และตอนนี้ก็ยังไม่ถึเวลา เหลืออีกประมาณเดือนครึ่งก็จะรู้แล้ว ตามระเบียบของคณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.) ช่วงก่อนวันประชุมรัฐสภาก็รู้แน่ คงเก็บไว้ไม่อยู่แล้ว”นายบุญส่ง กล่าว
เมื่อถามว่า จะผ่านด่านส.ว.ได้หรือไม่หากพรรคก้าวไกลไม่ยอมถอยเรื่องการแก้หรือยกเลิกมาตรา 112 นายบุญส่ง กล่าวว่า คงผ่านส.ว.ลำบาก เพระาตอนนี้เขากำลังดูอยู่ ถ้ามีปัจจัยอื่นมาประกอบด้วย เขาไม่เอาแน่ เพราะมี 3-4 ปัจจัย หากดูปัจจัยเดียวก็เหมือนกับขึ้นศาล หลักฐานน้อยก็อาจจะหลุด แต่ถ้ามีหลักฐานอื่น สมมติ ศาลบอกว่าคุณถือหุ้นสื่อคุณก็ต้องหลุดแน่ๆ แล้วจะไปโหวตทำไม หากโหวตไปก็จะโดนกล่าวหาว่าไม่ดูให้รอบครอบ ไปเลือกคนที่ผิดกฎหมายรัฐธรรมนูญ ดังนั้นจึงต้องดูหลายปัจจัยประกอบกัน