สุพัฒนพงษ์ โบ้ยปัจจัยภายนอก ต้นเหตุน้ำมันแพง ยันรัฐบาลทำดีที่สุดแล้ว

Home » สุพัฒนพงษ์ โบ้ยปัจจัยภายนอก ต้นเหตุน้ำมันแพง ยันรัฐบาลทำดีที่สุดแล้ว


สุพัฒนพงษ์ โบ้ยปัจจัยภายนอก ต้นเหตุน้ำมันแพง ยันรัฐบาลทำดีที่สุดแล้ว

สุพัฒนพงษ์ ยันรัฐบาลทำดีที่สุดแล้ว แก้ปัญหาน้ำมัน-ของแพง โวนักลงทุนต่างชาติมั่นใจไทย ชี้ เศรษฐกิจแนวโน้มบวก คาดสูงในรอบ 7 ปี

เมื่อวันที่ 2 ก.พ.2565 ที่ทำเนียบรัฐบาล นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรีและรมว.พลังงาน ให้สัมภาษณ์ถึงปัญหาราคาน้ำมันแพงว่า คณะกรรมการบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง (กบน.) ประชุมปรับสัดส่วนสูตรผสมไบโอดีเซล จากบี 7 เหลือบี 5 เพื่อตรึงราคาน้ำมันดีเซลไม่ให้เกิน 30 บาทต่อลิตร โดยวันที่ 4 ก.พ. จะแจ้งคณะกรรมการนโยบายปาล์มน้ำมันแห่งชาติ (กนป.) ให้รับทราบเรื่องนี้ และน่าจะประกาศใช้วันที่ 5 ก.พ. จะมีส่วนที่ลดต้นทุนของราคาน้ำมันดีเซลลงไปได้บ้าง ราคาน้ำมันปาล์มอาจลดลงมาเล็กน้อย

ขอย้ำว่าราคาน้ำมันนั้น มีปัจจัยมาจากตลาดโลก และเป็นเรื่องต่อเนื่อง มีปัจจัยหลายสาเหตุ ทั้งปัจจัยเดิมคือ ค่าเงินบาทที่มีอัตราอ่อนตัว และปัจจัยการเมืองระหว่างประเทศ ในประเทศแถบยุโรป ไม่ว่ารัสเซีย หรือยูเครน ที่มีความตึงเครียดอยู่ อีกทั้งสหรัฐอเมริกาที่ผลิตพลังงานเยอะก็เจออากาศหนาว ซึ่งมีผลไปหมด

หากปัญหาการเมืองระหว่างประเทศและอากาศที่หนาวเย็นผิดปกติเฉียบพลันได้คลี่คลายลงไป จะทำให้ราคาพลังงานอ่อนตัวลงไป ทุกอย่างจะกลับมาอยู่ในระดับที่บริหารจัดการได้ แต่ระหว่างนี้รัฐบาลพยายามจะตรึงราคน้ำมัน เนื่องจากราคาน้ำมันยังเป็นราคาตามตลาดเสรี แต่การลดสัดส่วนน้ำมันชีวภาพลงไป ในส่วนของน้ำมันดีเซลจะทำให้ลดต้นทุน ราคาน้ำมันลงได้ ซึ่งการแก้ปัญหาครั้งนี้ ยังอยู่ในวงเงินของกองทุนน้ำมัน

ผู้สื่อข่าวถามว่าราคาสินค้าและน้ำมันสูงขึ้น จะส่งผลกระทบต่อเสถียรภาพรัฐบาลหรือไม่ นายสุพัฒนพงษ์ กล่าวว่า สิ่งเหล่านี้ไม่ได้เกิดจากปัจจัยภายใน แต่เป็นปัจจัยภายนอก เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นกับทุกประเทศ ขอให้เข้าใจว่ารัฐบาลทำให้ดีที่สุดที่จะประคับประคอง ส่วนปัจจัยภายนอกส่งผลยาวนานขนาดไหน นายสุพัฒนพงษ์ กล่าวว่า ต้องรอดู เราไปกำกับดูแลเขาไม่ได้ แต่เชื่อว่าทุกอย่างมีข้อสรุป ซึ่งเรามีแผนรองรับและติดตามสถานการณ์ทุกวัน

ส่วนกระแสข่าวยุบสภา จะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยหรือไม่ นายสุพัฒนพงษ์กล่าวว่า จะกระทบหรือไม่ ต้องรอดูผลที่จะเกิดขึ้น แต่จากการติดตามผลสำรวจความคิดเห็นของนักลงทุนญี่ปุ่นที่อยู่ในไทย ที่จัดทำโดยเจโทร พบว่า มองแนวโน้มเศรษฐกิจไทยในครึ่งปีนี้เป็นบวก และเติบโตมากขึ้นกว่าเดิม เท่ากับ 7-8 ปีที่ผ่านมา ซึ่งส่วนตัวมองว่าอยู่ในจุดที่สูงสุดในรอบ 7 ปี จึงคิดว่า เศรษฐกิจไทยอยู่ในจุดที่สร้างความมั่นใจเกิดขึ้น ซึ่งนักลงทุนต่างเข้าใจเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นว่าเกิดจากปัจจัยภายนอก และมุมมองของนักธุรกิจญี่ปุ่น ยังเห็นว่าควบคุมการระบาดของโควิด-19 ได้ดี จึงอยากให้ทุกคน และจากการพูดคุยกับนักลงทุนในหลายประเทศ ก็มีความพอใจ และมองว่าไทยเดินมาถูกทาง

เมื่อถามว่าจะยังคงเป็นกุนซือของนายกฯ ต่อไปจนวาระสุดท้ายของรัฐบาลหรือไม่ นายสุพัฒนพงษ์ กล่าวว่า ตนก็ทำหน้าที่เต็มที่ และรัฐบาลได้ทำดีที่สุดแล้วในการแก้ปัญหาปากท้องให้ประชาชน ภายใต้กรอบการบริการจัดการ จึงอยากให้ทุกคนเข้าใจว่า บ้านเมืองเพิ่งผ่านวิกฤตครั้งสำคัญ และวิกฤตยังไม่หมดไป จึงต้องประคับประคองสถานการณ์ ให้มีแนวโน้มที่ดีขึ้น และนายกฯ ตัดสินใจเปิดประเทศด้วยความระมัดระวัง เพื่อเพิ่มรายได้กลับเข้าประเทศ ให้เข้าสู่สภาพปกติให้เร็วที่สุด และเสริมการลงทุนให้มากที่สุด หวังให้คนไทยกลับมามีชีวิตปกติสุขและดีกว่าเดิม

นี่คือความตั้งใจของรัฐบาล แต่เมื่อไม่พ้นวิกฤต ก็ต้องมีมาตรการต่างๆ เข้ามาช่วยเหลือ ส่วนเรื่องค่าแรงขั้นต่ำนั้น ยังไม่ได้มีข้อสรุป เพราะเหตุการณ์ต้องดูวันต่อวัน ว่าสถานการณ์ขณะนี้ไม่ได้เกิดจากปัจจัยภายใน แต่เกิดจากปัจจัยภายนอก

เมื่อถามย้ำว่าเรื่องเศรษฐกิจปากท้อง เป็นนโยบายที่พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ซึ่งเป็นพรรคเเกนนำของรัฐบาลหาเสียงไว้ คิดว่าอีก 1 ปีจะทำได้หรือไม่ นายสุพัฒนพงษ์ ปฏิเสธตอบคำถามโดยระบุว่า อันนี้เรื่องการเมือง

แท็กที่เกี่ยวข้อง

เรื่องอื่นที่น่าสนใจ