วันนี้ (12 กรกฎาคม) นพ.ศุภกิจ ศิริลักษณ์ อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ แถลงข่าวอัพเดตสายพันธุ์โควิด-19 ในประเทศไทย เปิดเผยว่า นับตั้งแต่เดือน เม.ย. เป็นต้นมา กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ได้ตรวจสายพันธุ์ของเชื้อ เพื่อถอดรหัสพันธุ์กรรมแล้วกว่า 15,000 ตัวอย่าง ส่วนใหญ่ที่พบยังเป็นสายพันธุ์อัลฟา(อังกฤษ) 74 เปอร์เซ็นต์ สายพันธุ์เดลตา(อินเดีย) 4 เปอร์เซ็นต์ และสายพันธุ์เบตา(แอฟริกาใต้) 1.7 เปอร์เซ็นต์

ข้อมูลในสัปดาห์ที่ผ่านมาพบว่า กรุงเทพมหานคร พบสายพันธุ์เดลตา เพิ่มเป็น 57 เปอร์เซ็นต์ ส่วนในต่างจังหวัด พบ 23 เปอร์เซ็นต์ ทำให้ภาพรวมทั้งประเทศ พบการระบาดของสายพันธุ์เดลตา 46 เปอร์เซ็นต์ หรือเกือบจะครึ่งหนึ่งแล้ว ซึ่งจำเป็นต้องมีการปรับแนวทางฉีดวัคซีนโควิด-19 ให้สอดคล้องกับการกลายพันธุ์

ส่วนสายพันธุ์เบตา ส่วนใหญ่ยังอยู่ในภาคใต้ เขตสุขภาพที่ 11 จำนวน 24 ราย และเขตที่ 12 อีก 60 ราย แต่ที่น่าแปลกใจ คือพบในบึงกาฬ 1 ราย เป็นคนงานที่กลับมาจากประเทศไต้หวัน เมื่ออยู่ในสถานกักกันโรคครบ 14 วัน พบหาเชื้อหลายครั้งแต่ไม่พบเชื้อโควิด-19 แต่เมื่อกลับบ้านไปแล้วพบว่าป่วย และพบว่ามีการติดเชื้อในภายหลัง เป็นสายพันธุ์เบตา อย่างไรก็ตาม เราได้ทำการถอดรหัสพันธุกรรม ไปเทียบระหว่างไต้หวัน และเทียบกับภาคใต้ ปรากฎว่าไม่ได้มาจากทั้ง 2 แหล่ง ฉะนั้นจะต้องไปไล่ดู สอบสวนโรค ทั้งนี้ ผู้ใกล้ชิดผู้ป่วยรายนี้อยู่ในระหว่างการตรวจและสอบสวนโรคอยู่ ฉะนั้น เบตา แพร่ไม่เร็ว ยังอยู่ในภาคใต้เป็นส่วนใหญ่

นพ.ศุภกิจ กล่าวต่อว่า วันนี้มีข้อมูลที่น่าสนใจ การตรวจเชื้อในแคมป์คนงานขนาดใหญ่แห่งหนึ่ง ใน กทม. ซึ่งปรากฎว่า พบผู้ติดเชื้อผสม (Mix infection) 2 สายพันธุ์ ในผู้ป่วยคนเดียว โดยพบผู้ป่วยถึง 7 รายที่ติดแบบเชื้อผสมนี้ จากการตรวจทั้งหมด 200 กว่าราย

หากปล่อยให้มีการติดเชื้อผสมเยอะขึ้นเรื่อยๆ อาจเกิดเป็นเชื้อลูกผสม(Hybrid) เป็นสายพันธุ์(Variant)ใหม่ขึ้นมาได้ 

นพ.ศุภกิจบอกอีกว่า เรื่องนี้ไม่ได้เกิดขึ้นในประเทศไทยเท่านั้น แต่ยังพบในประเทศอื่นๆ ในโลก โดยผู้ป่วยทั้ง 7 รายนี้ ยังสบายดีไม่มีอาการป่วย จึงบอกไม่ได้ว่าติดเชื้อผสม 2 สายพันธุ์แล้วจะทำให้อาการป่วยรุนแรงขึ้น แต่ต้องจับตาดูต่อไป อย่างไรก็ตาม ตรวจพบรหัสพันธุกรรมในคนๆ เดียวกัน ซึ่งการตรวจ 7 รายนี้เป็นการเข้าได้ทั้งอัลฟาและเดลตา แต่ทั้งหมดแข็งแรงดี ไม่มีปัญหาอะไร